×

1899 มากกว่าซีรีส์ไซไฟสุดล้ำลึก คือการสำรวจถึงชีวิตและจิตใจของมนุษย์

23.11.2022
  • LOADING...

**บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนจากซีรีส์ 1899**

 

ครึ่งทศวรรษก่อน Baran bo Odar และ Jantje Friese สองสามีภรรยาชาวเยอรมันได้สร้างซีรีส์ที่ชวนให้คนทั้งโลกตั้งคำถามมากที่สุดในช่วงเวลานั้นอย่าง Dark (2017-2020) ออกมาสู่สายตาของผู้ชมเป็นครั้งแรก ด้วยเรื่องราวที่เป็นเสมือนเส้นแบ่งเวลาที่แยกเรื่องราวระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การแบ่งแยกลำดับญาติที่ชวนฉงน การพบกันระหว่างตัวเองและผู้คนในช่วงเวลาต่างๆ ไปจนถึงการแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดที่เป็นดั่งวัฏจักรที่เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน ซึ่งในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกหนึ่งซีรีส์จากทีมผู้สร้างอย่าง 1899 ก็ได้ฤกษ์เปิดประตูสู่ความ ‘ไม่เข้าใจ’ ให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้ง

 

“Wake up”

 

ประโยคที่เป็นเหมือนสัญญาณเกริ่นนำเรื่องราวกลับกลายเป็นทั้ง ‘จุดเริ่มต้น’ และ ‘จุดสิ้นสุด’ ในเวลาเดียวกัน เหล่าบรรดาตัวละครมากหน้าหลายตาต่างตกอยู่ในภวังค์ของความทรงจำ ก่อนที่พวกเขาจะถูกดึงกลับเข้าสู่โลกที่พวกเขาอยู่หรือคิดว่าควรจะอยู่ จนหลายสิ่งหลายอย่างผิดแปลกออกไป เมื่อกัปตันเรือวัยกลางคนอย่าง Eyk Larsen (Andreas Pietschmann) ได้รับสัญญาณจากเรือ Prometheus เรือที่หายสาบสูญไปกลางท้องทะเลนานกว่า 4 เดือน พร้อมกับผู้คนบนเรืออีกนับพันชีวิต 

 

และเมื่อพวกเขาเข้าไปสำรวจเรือดังกล่าว สิ่งที่พบกลับเต็มไปด้วยปริศนามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหายไปแบบไร้ร่องรอยของผู้คนบนเรือ วิทยุสื่อสารที่ใช้การไม่ได้ การพบชิ้นส่วนเสื้อผ้าของคนที่ไม่สมควรจะอยู่ หรือกระทั่งการพบกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่ถูกขังเอาไว้ภายในเคาน์เตอร์บนเรือ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจแทบจะทั้งสิ้น และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันแสนประหลาดดำมืดที่พวกเขาทุกคนจะได้ค้นหาคำตอบไปพร้อมกับคนดู

 

 

หากกล่าวอย่างรวดเร็ว 1899 อาจไม่ได้เป็นซีรีส์ที่ดูสลับซับซ้อนทางด้านช่วงเวลาเท่ากับ Dark แต่เป็นซีรีส์ที่พาเราเข้าไปสำรวจถึงแง่มุม ‘ความทรงจำ’ ของมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ แม้จะมีแนวทางเฉพาะที่ดูแตกต่างจากผลงานก่อนหน้านี้ที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาพอสมควร แต่หลายสิ่งที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์สำคัญยังคงมีอยู่ในผลงานอย่างเหนี่ยวแน่นและน่าติดตามอยู่เช่นเคย เพียงแต่วิธีการนำเสนอมีรูปแบบที่แตกต่างออกไป

 

ซีรีส์เปิดฉากด้วยเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตของตัวละคร ก่อนที่จะพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่หนึ่งภายในเรือ ซึ่งเป็นเรือที่พวกเขาโดยสารมาจากยุโรปเพื่อไปยังอเมริกา แม้ซีรีส์จะไม่บอกกล่าวอย่างชัดเจนนักในช่วงแรกว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเพราะอะไร ทำไมทุกคนถึงอยากเดินทางไปอเมริกา แต่ที่แน่ชัดคือพวกเขาทุกคนไม่มีใครอยากกลับไปยุโรปแม้แต่คนเดียว และบางทีการเดินทางไปอเมริกาในครั้งนี้ของพวกเขาก็อาจเป็นเหมือนการตามหาอิสรภาพให้กับตัวเอง

 

ถึงกระนั้นในระหว่างการเดินทาง สิ่งที่ซีรีส์ทำไม่เพียงแค่โยนปริศนาปรัชญาต่างๆ มาให้ผู้ชมเพียงอย่างเดียว แต่ยังพาผู้ชมเข้าไปสำรวจพื้นเพของตัวละครอีกด้วย ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือทั้งหมดไม่ใช่เรื่องราวของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องราวของทุกคน 

 

 

แต่แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปเมื่อพบกับเรือ Prometheus เรื่องราวแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติเริ่มถาโถมเข้าใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเห็นภาพหลอน การได้ยินเสียงคนตาย หรือกระทั่งการถูกส่งเข้าไปอยู่ในความทรงจำอันขมขื่นของตัวเองจนแทบเสียสติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนบนเรือล้วนมีความทรงจำในอดีตที่อยากจะ ‘ลืม’ แต่เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความทรงจำที่ถูกกดทับเหล่านั้น มันจึงเป็นเหมือนฝันร้ายที่ถูกบังคับให้ต้อง ‘จดจำ’ อีกครั้ง

 

แม้เรื่องราวจะเต็มไปด้วยปริศนามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเสน่ห์หลักของซีรีส์เรื่องนี้ คือเหล่าบรรดานักแสดงมากความสามารถที่พูดคุยกันด้วยภาษาที่แตกต่าง หลายคนอาจไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ แต่พวกเขาก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเต็มที่ด้วยการสื่อสารผ่านทางสีหน้าและแววตา เมื่อผนวกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วยิ่งทำให้เราเห็นถึงความเป็นมนุษย์ของผู้คนบนเรือมากยิ่งขึ้น 

 

 

อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแค่เรื่องราวของมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้นที่เป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจ การตั้งคำถามถึงการ ‘จดจำ’ ของมนุษย์ก็ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะซีรีส์มักจะตั้งคำถามปรัชญาเกี่ยวกับ ‘ความทรงจำ’ อยู่ตลอด ซึ่งการ ‘จำลอง’ สิ่งที่มนุษย์เลือกที่จะจดจำและหลงลืมเพื่อลบเลือนความเจ็บปวดของตัวเอง ก็อาจเป็นเหมือนนัยของความจริงที่ผู้คนเลือกจะจดจำช่วงเวลาแห่งความสุขมากกว่าความทุกข์ แต่ในขณะเดียวกันความจริงก็ไม่ได้ตายจากไปไหน มีเพียงแค่เราที่พยายามลบเลือนมันออกไปจากความทรงจำ

 

และหากพูดถึงกลิ่นอายของซีรีส์ เราอาจอนุมานได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ The Matrix (1999) ของสองพี่น้อง Wachowski และ Solaris (1972) ของบรมครูภาพยนตร์ปรัชญาอย่าง Andrei Tarkovsky นั่นก็เพราะซีรีส์ไม่ได้เน้นขับเคลื่อนเรื่องราวไปที่การค้นหาคำตอบเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรืออะไรที่จำลองความทรงจำของพวกเขา แต่เน้นไปที่การสำรวจจิตใจของผู้คนที่อยู่บนเรือจากความทรงจำในอดีตเหล่านั้นเสียมากกว่า 

 

อีกส่วนที่ปฏิเสธไม่ได้คือการที่ซีรีส์ได้นำเอาตำนานกรีกและโรมันมาปรับใช้ให้เข้ากับเนื้อหา ทำให้เรื่องราวของซีรีส์มีความลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น และด้วยการที่ซีรีส์มักจะหยอดปริศนาต่างๆ มาให้คนดูอยู่ตลอด ก็ทำให้การเดินทางตามหาความจริงของพวกเขาในครั้งนี้น่าติดตามมากขึ้นในทุกๆ ตอน ถึงกระนั้นด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่ สิ่งที่เป็นบทสรุปสุดท้ายนั้นก็อาจตีความให้จบในคราวเดียวหรือไปต่อก็ได้เช่นกัน 

 

 

1899 อาจเป็นซีรีส์ไซไฟที่เต็มไปด้วยปริศนาชวนสับสนให้ผู้ชมร่วมกันตีความและค้นหาคำตอบ ทว่าเนื้อในนั้นนอกจากปริศนาที่น่าสนใจแล้ว หัวใจสำคัญอีกอย่างที่เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวให้มีความน่าสนใจมากจนถึงขีดสุด คือความทรงจำปูมหลังของผู้โดยสารแต่ละคนบนเรือ ซึ่งเป็นเหมือนตัวชูโรงของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นภายในแต่ละตอนที่ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความรู้สึกที่ตัวเองกดทับเอาไว้ แต่สะท้อนไปถึงความทรงจำที่เปรียบดั่งฝันร้ายของพวกเขาทุกคนอีกด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม ความฝันเหล่านั้นก็มีจุดสิ้นสุด และเราอาจจะตื่นขึ้นมาพบกับฝันร้ายที่ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง

 

“ขอให้กาแฟออกฤทธิ์ก่อนต้องเผชิญหน้าโลกความจริง”

 

สามารถรับชมซีรีส์ 1899 ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

 

รับชมตัวอย่างได้ที่ 

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising