×

“ในวันที่ดอกไม้เบ่งบาน เราจะพบกันอีก” 12 ปีบนเส้นทางดนตรีของ BIGBANG

20.08.2018
  • LOADING...

19 สิงหาคม 2006 คือวันแรกที่ BIGBANG เดบิวต์ในช่วงขณะที่วัฒนธรรมเคป๊อปกำลังใช้เสียงดนตรีแพร่ขยายสู่ประเทศต่างๆ ในแถบเอเชีย หลังจากศิลปินรุ่นพี่พยายามอย่างหนักในการเปิดทาง ไม่ว่าจะเป็น TVXQ!, Super Junior และศิลปินกลุ่มอื่นๆ ในยุคนั้น

 

จาก ‘เมล็ดพันธุ์ที่เล็กที่สุด’ สู่การเติบโตเป็น ‘ต้นไม้ใหญ่’ ที่มีรากฐานมั่นคง ย้อนกลับไป 12 ปีที่แล้ว ช่วงที่ BIGBANG ยังเป็นเพียงศิลปินที่เพิ่งเริ่มเดบิวต์ คงไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีแบบใหม่ให้กับวัฒนธรรมเคป๊อปด้วยดนตรีและสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการใช้ดนตรีสื่อสารกับผู้คนจนทำลายกำแพงข้ามน้ำข้ามทะเลไปสร้างชื่อในอเมริกาได้สำเร็จ

 

นอกเหนือจากความสำเร็จในเกาหลีใต้และต่างประเทศ BIGBANG ยังเป็นศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจหลักให้กับศิลปินรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นแบมแบม จาก GOT7, จีมินและจองกุก จาก BTS, WINNER รวมไปถึงชางโจและแอลโจ อดีตสมาชิกวง TEEN TOP ฯลฯ

 

Photo: ygbigbang.com

 

BIGBANG มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน ได้แก่ ท็อป (ชเวซึงฮยอน), จีดรากอน (ควอนจียง), แทยัง (ทงยองเบ), แดซอง (คังแดซอง) และซึงรี (อีซึงฮยอน) ตั้งแต่ปี 2017 จนถึงปัจจุบัน สมาชิก 4 คน ได้แก่ ท็อป, จีดรากอน, แทยัง และแดซอง ได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารเพื่อรับใช้ประเทศชาติ เหลือเพียงซึงรี สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของ BIGBANG ที่ยังคงทำหน้าที่ถ่ายทอดเสียงดนตรีให้แก่แฟนๆ ชาว V.I.P (ชื่อแฟนคลับของ BIGBANG) โดยซึงรีเองก็เพิ่งปล่อยโซโลอัลบั้มเต็ม The Great Seungri ไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา และเดินหน้าลุยคอนเสิร์ตเดี่ยว Seungri 2018 1st Solo Tour [The Great Seungri] แทนพี่ๆ ที่ยังอยู่ในกรม

 

ความสำเร็จของ BIGBANG ที่ได้รับมาตลอด 12 ปีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะประสบความสำเร็จจนกลายเป็นตำนานของวงการเคป๊อปและเป็นไอดอลให้แก่ศิลปินรุ่นหลังได้จนถึงทุกวันนี้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ BIGBANG โลดแล่นอยู่ในวงการเพลงได้นาน คงไม่ใช่แค่กลยุทธ์ที่บริษัท YG Entertainment วางไว้ แต่มันต้องมาจากความพยายามอย่างหนักของวงที่ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคมากมายกว่าที่พวกเขาจะเดินทางมาถึงวันนี้

 

“BIGBANG ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอะไรมากมายหรอก พวกเราเป็นแค่คนที่มีความพยายามอย่างมากที่จะเดินตามความฝันต่างหาก” จีดรากอน

 

บทพิสูจน์เพื่อก้าวเดินบนเส้นทางความฝัน

“BIGBANG ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอะไรมากมายหรอก พวกเราเป็นแค่คนที่มีความพยายามอย่างมากที่จะเดินตามความฝันต่างหาก” จีดรากอนเคยเล่าเอาไว้ในหนังสือ Shout out to the world ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2009 ในหนังสือเล่มดังกล่าว เขามักจะคอยย้ำผู้อ่านให้มองเห็นถึงความมุมานะของเหล่าเมมเบอร์ เพราะการฝึกฝนอย่างหนักต่างหากที่ช่วยพัฒนาศักยภาพและความสามารถของพวกเขา ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาหรือเสียงร้อง

 

 

สำหรับบางคน การได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินฝึกหัดในค่ายดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สำหรับแทยัง เขาไม่ได้เริ่มต้นแบบนั้น ในวันออดิชัน แทยังตื่นเต้นมากตลอดการแสดงความสามารถ เสียงร้องของเขาสั่น จนท้ายที่สุด ยางฮยอนซอก ประธานใหญ่แห่ง YG Entertainment บอกเพียงว่า “จะติดต่อกลับไปภายหลัง” แทยังมีความหวังกับคำพูดที่แสนคลุมเครือและรอคอยการติดต่อกลับมาทุกวันเป็นเวลาร่วมเดือนจนเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป แทยังกลับไปหาประธานยางฮยอนซอกอีกครั้งเพื่อทวงคำตอบ “ไหนบอกจะติดต่อกลับมา แล้วทำไมไม่ติดต่อกลับมาครับ” ความกล้าหาญในการถามประธานใหญ่อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาได้รับเลือกเป็นศิลปินฝึกหัดในที่สุด และเป็นประตูบานแรกที่พาเขาเข้าใกล้ความฝันมากยิ่งขึ้น

 

ส่วนท็อปเองก็เคยเล่าว่าตอนที่เริ่มต้นเป็นเด็กฝึกหัดใหม่ๆ เขามักแอบอู้การซ้อม เพราะเหนื่อยและอ่อนล้าจากการฝึกเต้นอย่างต่ำครั้งละ 5 ชั่วโมง “ผมฝึก 5 ชั่วโมงแล้วก็ควรจะปล่อยให้ผมออกไปใช้ชีวิตข้างนอกบ้าง ผมคิดว่ามันโอเคนะถ้าจะอู้เวลาที่มีซ้อมเต้น” แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเห็นความพยายามอย่างหนักของเพื่อนคนอื่นๆ ทำให้เขาปรับเปลี่ยนความคิด เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงของใคร “ถ้าผมไม่ผ่านการคัดเลือกเพราะเต้นไม่ได้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”

 

แดซองก็เช่นกัน เขาได้เปิดเผยว่าขณะที่ยังเป็นศิลปินฝึกหัดเขาลำบากมากๆ เพราะต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปด้วยเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อ แดซองเขียนไว้ในหนังสือ Shout out to the world ว่า “พ่อก็โอเคกับเรื่องนี้ แต่การจะเลิกเรียนเพื่อไปเป็นนักร้องนั้น เขารับไม่ได้แน่นอน ยิ่งเวลาเดบิวต์ยังไม่ถูกกำหนด การเป็นนักร้องก็ยังไม่สามารถเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จบนเส้นทางนี้ได้”

 

หลังจากฝึกซ้อมและพัฒนาอย่างหนัก ในที่สุด YG Entertainment ก็ได้ปล่อยสารคดี BIGBANG Documentary จำนวนทั้งหมด 11 ตอน เพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินฝึกหัดได้เดบิวต์และให้แฟนๆ ได้ให้กำลังใจพวกเขา ช่วงท้ายของโปรเจกต์ได้มีการประกาศผลคัดเลือกศิลปินจำนวน 4 คน ได้แก่ จีดรากอน, แทยัง, ท็อป และแดซอง แต่ประธานยางฮยอนซอกยังอยากที่จะให้โอกาสเด็กฝึกหัดทั้งสองคนที่เหลืออย่างซึงรีกับจางฮยอนซึง (ภายหลังเดบิวต์กับวง Beast) ได้พิสูจน์ตัวเอง และด้วยพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของซึงรี ทำให้เขาได้รับโอกาสในการเดบิวต์ร่วมกับเมมเบอร์คนอื่นภายใต้ชื่อวง BIGBANG และเซ็นสัญญากับ YG Entertainment ซึ่งเป็นค่ายเพลงของพวกเขาในปัจจุบัน

 

 

เมื่อความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จงอย่าหยุดพัฒนาตัวเอง

จาก ‘เพลงที่มีผู้ฟังหลักหมื่น’ สู่ ‘เพลงที่มีผู้ฟังหลักล้าน’ BIGBANG ถือเป็นศิลปินกลุ่มแรกที่กล้าท้าทายคอนเซปต์ของอุตสาหกรรมดนตรีเคป๊อปในสมัยนั้น ภาพของผู้ชาย 5 คนที่ใส่หมวกเฉียง สวมเสื้อผ้าหลวมโคร่งออกมาร้องและแรปไปกับดนตรีฮิปฮอปถือว่าเป็นภาพที่เห็นได้ไม่บ่อยในกลุ่มศิลปินเคป๊อปที่มีชื่อเสียงในตอนนั้น  

 

BIGBANG ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับความกล้าที่จะลองทำและมุ่งหน้าพัฒนาแนวเพลงในแบบของตัวเอง แม้ช่วงแรกๆ ดนตรีในอัลบั้ม BIGBANG Vol.1 (2006) อาจจะยังไม่สื่อสารให้ผู้ฟังกลุ่มใหญ่เข้าใจและเข้าถึงได้มากนัก แต่ด้วยความไม่ย่อท้อ ทำให้พวกเขากลับมาอีกครั้งด้วยการปล่อยมินิอัลบั้ม Always (2007) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ของ BIGBANG โดยมีเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปอย่าง Lies ที่เข้าถึงผู้ฟังกลุ่มใหญ่และสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาอย่างล้นหลาม

 

จากความสำเร็จในครั้งนั้นทำให้พวกเขาเริ่มที่จะพัฒนาแนวเพลงให้สื่อสารกับผู้ฟังได้มากยิ่งขึ้น ภายในเวลาไม่นานพวกเขาก็ปล่อยเพลง Last Farewell จากมินิอัลบั้ม Hot Issue (2007) และประสบความสำเร็จต่อเนื่องกับมินิอัลบั้ม Stand Up (2008) และอัลบั้ม Remember (2008) จนทำให้ BIGBANG ได้เดินทางมาโปรโมตเพลงและคอนเสิร์ตในประเทศไทย รวมถึงอีกหลายประเทศในแถบเอเชีย

 

 

BIGBANG ได้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมการเปิดตัวมินิอัลบั้ม Tonight (2011) ที่ได้เพลงดังอย่าง Tonight และ Hands up เป็นเพลงชูโรง ก่อนจะกลับไปพัฒนาแนวดนตรีต่อจนเกิดเป็นเพลง Blue และ Bad Boy โดยเป็นเพลงช้าๆ ไม่หวือหวา แต่มีองค์ประกอบทางทำนอง เสียงร้อง และท่อนเพลงที่ติดหูจนทำให้ทั้งสองเพลงได้รับความนิยมอย่างมาก

 

และในปี 2012 มินิอัลบั้ม Alive ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Fantastic Baby เพลงฮิตที่ทำให้ BIGBANG กลับมาพร้อมภาพลักษณ์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วยดนตรีที่สุดแสนมัน จัดจ้าน และให้ความรู้สึกใหม่น่าติดตามจนทำให้ BIGBANG กลายเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จจนมีคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์และพาวัฒนธรรมเคป๊อปออกนอกเอเชียไปสู่ตะวันตกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

 

 

 

 

BIGBANG Alive Galaxy Tour คือคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ 12 ประเทศ 24 เมืองที่มีผู้ชมถึง 8 แสนคน! ความสำเร็จครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นในอุตสาหกรรมดนตรีเคป๊อป เนื่องจาก BIGBANG เป็นศิลปินเกาหลีกลุ่มแรกที่สามารถขายบัตรคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ได้หมดทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรป ไม่เพียงเท่านั้น นักวิจารณ์ของ The New York Times ยังเลือกให้คอนเสิร์ตครั้งนี้ของ BIGBANG เป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในปี 2012

 

 

และก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา หลังจากออกอัลบั้มเสร็จ BIGBANG ก็ได้แยกย้ายกันไปสร้างสรรค์ผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวและดูโอมากขึ้น ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองไปทำในสิ่งที่สนใจ ก่อนจะกลับมารวมตัวอีกครั้งในปี 2015 ซึ่งเป็นปีที่ BIGBANG เติบโตขึ้นมากทั้งด้านภาพลักษณ์และแนวเพลงที่มีความเป็นสากล

 

ปลายปี 2015 พวกเขาได้สร้างความประหลาดใจและทำให้วงการเพลงสั่นสะเทือนด้วยวิธีการโปรโมตแบบใหม่กับการแบ่งปล่อยมินิอัลบั้มทั้งหมด 4 ซีรีส์ตามตัวอักษร M, A, D, E โดยในทุกๆ มินิอัลบั้มจะประกอบไปด้วย 2 เพลงหลัก ได้แก่ Fxxk It,  Last Dance, Let’s Not Fall in Love, Loser, Bae Bae, Bang Bang Bang, Sober และ If You โดยในภายหลังได้เพิ่มเพลงออกเป็นอัลบั้ม MADE เต็มรูปแบบ และนี่เป็นอีกปีที่ BIGBANG ประกาศจัดเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ที่พวกเขาเดบิวต์มา และได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้นเช่นเคย

 

ซิงเกิลล่าสุดในเดือนมีนาคม ปี 2018 คือผลงานพิเศษชื่อ Flower Road ที่พวกเขาทำเพื่อให้กำลังใจแฟนๆ ที่รอคอยการกลับมาของ BIGBANG เช่นเดียวกับการรอคอยวันที่ดอกไม้เบ่งบานและพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง ซิงเกิลนี้สร้างสถิติทำยอดขายแตะหลักล้านภายในเวลา 3 วัน 14 ชั่วโมง นับเป็นเวลาที่น้อยที่สุดเท่าที่ศิลปินเกาหลีใต้คนไหนเคยทำได้

 

ความสำเร็จของ BIGBANG คือการไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ยิ่งประสบความสำเร็จ พวกเขายิ่งพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ และนี่คือเหตุผลที่ทำไม BIGBANG จึงมีรากฐานที่มั่นคงในอุตสาหกรรมดนตรีเคป๊อปได้จนถึงทุกวันนี้

 

 

เรียนรู้ความผิดพลาดด้วยการยอมรับความจริง

“ยิ่งใหญ่ขึ้นมากเท่าไร เวลาล้มก็จะยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น” คำพูดนี้เห็นจะเป็นเรื่องจริง ภายในระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา BIGBANG ต้องต่อสู้กับคำวิจารณ์และข่าวลือเสียๆ หายๆ เรียกได้ว่าเมื่อไรที่พวกเขาพลั้งพลาด ความสำเร็จที่สร้างมาก็แทบใช้เป็นแต้มต่อไม่ได้เลย

 

ในปี 2009 จีดรากอนเคยถูกโจมตีอย่างหนัก รวมทั้งถูกวิจารณ์เรื่องเพลง Heartbreaker ที่คล้ายกับเพลงของศิลปินชื่อดังคนหนึ่ง ด้วยกระแสนั้นทำให้ผลงานในอดีตของเขาถูกขุดคุ้ยขึ้นมาโจมตีอย่างรุนแรง และมีคนขุดคุ้ยชีวิตส่วนตัวของเขาขึ้นมาเป็นระยะ หลังจากนั้นข่าวร้ายของ BIGBANG ก็ดูจะตามมาเรื่อยๆ เมื่อแดซองถูกพักงานอย่างไม่มีกำหนดหลังจากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยข้อหาประมาทและทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต แม้จะมีแฟนคลับไปให้กำลังใจมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการรุมโจมตีให้เขาออกมาดูแลผู้เสียชีวิตและครอบครัวอย่างเป็นธรรมที่สุด

 

ข่าวร้ายหนักๆ ของ BIGBANG ทิ้งระยะอยู่นาน แม้จะมีข่าวฉาวออกมาบ้าง แต่ก็ไม่มีข่าวไหนใหญ่ไปกว่าคดีการเสพกัญชาของท็อปอีกแล้ว ข่าวที่ละเอียดอ่อนและกระทบความรู้สึกทั้งแฟนเพลงและตัวศิลปินเอง ตามมาด้วยข่าวการกินยาเกินขนาดจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยตัวท็อปเองก็มีปัญหาโรคซึมเศร้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และในภายหลังเขาได้ออกมาแถลงข่าวเพื่อขอโทษในความผิดของตัวเอง

 

แม้ว่าเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านมาจะมีผลด้านลบต่อชื่อเสียงของ BIGBANG แต่เมื่อพวกเขายอมรับความจริงและผ่านปัญหาต่างๆ ไปนั้น ชื่อเสียงและความสำเร็จที่พวกเขาสร้างเอาไว้ก็ยังคงอยู่ ที่สำคัญ BIGBANG ยังมีแฟนคลับที่คอยให้กำลังใจอยู่เช่นกัน

 


 

กำลังสนับสนุนและกำลังใจคนสำคัญของ BIGBANG

เมื่อพูดถึงความสำเร็จของ BIGBANG คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่พูดถึงกลุ่มแฟนคลับของที่อยู่ภายใต้ชื่อ V.I.P หรือ ​Very Important Person ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่คอยติดตาม BIGBANG มายาวนานถึง 12 ปี คอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างทั้งในช่วงที่ประสบความสำเร็จหรือแม้แต่ช่วงเวลาที่เกิดปัญหา V.I.P ถือเป็นกลุ่มคนที่มอง BIGBANG ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดกันได้ ยอมให้อภัยและช่วยเยียวยาจิตใจพวกเขาเสมอ ซึ่งเราเชื่อว่า BIGBANG เองก็รู้สึกขอบคุณ V.I.P ไม่แพ้กัน คำขอบคุณนั้นอาจจะส่งผ่านเพลง Flower Road ที่ท่อนหนึ่งร้องไว้ว่า  

 

ในหนึ่งปีมี 365 วัน และโลกนี้ก็ยังคงมีเพียงคุณที่คอยเป็นแรงผลักดันให้กับทุกๆ บทเพลงของผม คุณเป็นเหมือนกับเส้นทางดอกไม้ที่ให้ผมได้พักพิง”

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

FYI
  • ซึงรีมีกำหนดเข้ากรมในปี 2019 และเมมเบอร์ทั้ง 5 คนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในปี 2020
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising