กฎหมาย EUDR ถือเป็นกฎหมายใหม่ของ EU ที่เกี่ยวข้องกับการแบนการทำลายป่า ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้กับประเทศคู่ค้าในช่วงปลายปีนี้ โดยจะมีผลกระทบกับทั่วโลก รวมทั้งไทยแบบเลี่ยงไม่ได้
ดร.เกียรติศักดิ์ คำสี นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ระบุว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแบนการทำลายป่า คือ กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation – EUDR) ซึ่ง เป็นกฎหมายที่ EU ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ EU หลุดจากการเป็นผู้มีส่วนร่วมในการตัดไม้ทำลายป่าไปทั่วโลก เนื่องจากแต่ละปีมีพื้นที่ถูกตัดไม้ทำลายป่าประมาณ 55 ล้านไร่ต่อปี เพื่อนำพื้นที่มาใช้ในการผลิตสินค้าเกษตร ซึ่งสินค้าเหล่านั้นได้มีการส่งออกมายังตลาดใน EU ซึ่งส่งผลให้ EU ต้องแก้ปัญหาดังกล่าว ดังนั้น EU จึงเริ่มออกกฎหมายนี้ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมาซึ่งจะมีผลในทางปฏิบัติเริ่มในช่วงปลายปี 2568 นี้
3 ข้อกำหนดกฎหมาย EUDR ที่บังคับใช้กับสินค้าเกษตร
EU ได้กำหนดนำกฎหมาย EUDR มาใช้กำกับในการนำเข้าสินค้าเกษตรจำนวน 7 กลุ่มเช่น ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, ไม้, โกโก้, เนื้อวัว, หรืออื่นๆ ที่เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป จะต้องผ่านเงื่อนไขจำนวน 3 ข้อตามที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย EUDR ดังนี้
- สินค้าที่นำเข้ามาต้องไม่ได้มาจากพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่า
- ขบวนการผลิตต้องถูกกฎหมายของประเทศผู้ผลิต
- ต้องผ่านการประเมินตรวจสอบสินค้า (Due Diligence)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สำหรับประเทศไทยถือว่ามีความสำคัญมากเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของโลกโดยเฉพาะยังพาราที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกโดยไทยมีการส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรไปยัง EU ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ดังนั้นกฎหมายที่ออกมาดังกล่าวจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของประเทศไทย
ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำได้สิทธิพิเศษ
ขณะที่ประเทศไทยได้รับการจัดกลุ่มจาก EU เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งถือเป็นข้อดีสำหรับประเทศไทยที่ได้รับสิทธิพิเศษในการไม่ต้องดำเนินการในส่วนของการทำ Due Diligence ให้ครบทุกขั้นตอน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยไม่ได้อยู่ในพื้นที่การบุกรุกป่าใหม่มากนัก หรือมีการเพาะปลูกอยู่ในพื้นที่เกษตรดั้งเดิมเป็นหลัก
ดังนั้น ประเทศไทยกฎระเบียบที่ออกมาของ EU จะมีส่วนให้ประเทศไทยได้รับความมั่นใจจาก EU ว่าได้มีการดำเนินการตามกฎหมาย EUDR ว่ามีการตัดไม้ทำลายป่าหรือมีกระบวนการผลิตที่เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ประเทศไทยจึงได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ เพราะจะไม่มีกระบวนการตรวจสอบสินค้าในทุกขั้นตอนซึ่งปกติจะมีการดำเนินการได้สามขั้นตอนได้แก่
- การรวบรวมข้อมูล
- การคำนวณความเสี่ยงโดยประมวลความเสี่ยงจากข้อมูลในขั้นที่หนึ่ง
- การลดความเสี่ยงซึ่งผู้นำเข้าสินค้าจากยุโรปต้องเข้ามาให้ความรู้ในประเทศผู้ผลิตรวมถึงมีการลงทุนเพื่อให้ขั้นตอนในการปฏิบัติส่งออกสินค้าเป็นไปตามกฎหมายของ EU
ซึ่งประเทศไทยที่จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำจะได้รับอภิสิทธิ์ที่พิเศษให้ดำเนินการในข้อที่หนึ่งเท่านั้น โดยไม่ต้องดำเนินการในข้อที่สองและสาม
เปิด 2 กลุ่มสินค้าเกษตรได้ประโยชน์จากกฎหมาย EUDR
ดร.เกียรติศักดิ์ กล่าวต่อว่า กลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่จะได้เปรียบจากกฎหมาย EUDR ดังกล่าวนี้ ได้แก่ มี 2 กลุ่มคือยางพารากับปาล์มน้ำมันเนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตยางพาราอันดับที่ 1 ของโลก โดยในแต่ละปี EU มีการนำเข้ายางพาราจากประเทศกลุ่มเสี่ยงปกติอยู่ที่ประมาณ 680,000 ตันต่อปี เป็นปริมาณนำเข้าที่สูงกว่าการนำเข้าไทย 2.3 เท่าซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ ดังนั้นผู้นำเข้ายางพาราใน EU มีแนวโน้มที่จะหันมานำเข้ายางพาราจากไทยเพิ่มมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาระต้นทุนของที่มาจากกฎหมายในเรื่องนี้
นอกจากนี้ ประเทศจีนที่เป็นผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ซึ่งส่งออกไปยังยุโรปในปริมาณที่มากยังมีมีแนวโน้มที่จะหันมานำเข้ายางพาราจากไทยเพิ่มขึ้นเพื่อลดภาระจากกฎหมาย EUDR
สำหรับกลุ่มสินค้าปาล์มน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันแม้ไทยยังไม่ใช่ผู้ส่งออกหลักไปยังยุโรปแต่อินโดนีเซียกับมาเลเซียเป็นผู้ส่งออกไปยังยุโรปซึ่งตามกฎหมายของ EU จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปกติซึ่งมีการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 2.4 ล้านตันต่อปีซึ่งถือเป็นโอกาสของประเทศไทยที่เป็นผู้ส่งออกปาล์มน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก
อีกทั้งยังมีข้อแนะนำต่อผู้ประกอบการหรือภาครัฐว่าประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยควรเร่งดำเนินการคือการเร่งทำระบบตรวจสอบย้อนกลับให้พร้อมเพื่อใช้เก็บข้อมูลส่งกลับให้กับผู้ประกอบการใน EU ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการในไทยได้มีการเตรียมความพร้อมดังกล่าวบ้างแล้วดังนั้นผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว แนะนำให้เร่งดำเนินการ เพราะจะเป็นข้อได้เปรียบเพื่อสร้างความสามารถแข่งขันในระยะยาวได้
ขณะที่ในภาครัฐได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับกฎหมายดังกล่าวนี้แล้วมาสักระยะ ทั้งการทำแผนที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่ป่าให้สอดคล้องกับกฎหมายของ EU รวมถึงมีการเชื่อมโยงข้อมูลเกษตรกรกับภาคเอกชนซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ภาครัฐควรเร่งจัดทำให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้เพื่อให้ทันกับกฎระเบียบกฎหมายของ EU
นอกจากนี้ประเทศไทยควรมีติดตามสถานะความเสี่ยงของประเทศอย่างต่อเนื่องรวมถึงมีมาตรการอนุรักษ์ป่าออกมา เนื่องจาก EU จะมีการทบทวนประเมินระดับความเสี่ยงของประเทศไทยอีกครั้งในปี 2569 ซึ่งหากประเทศไทยเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้ไว้ได้แล้วจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำในการส่งออกสินค้าเกษตรไปยัง EU