คดีอาชญากรรมออนไลน์พัฒนาไม่หยุด จากฟิชชิ่ง – คอลเซ็นเตอร์ สู่ Deepfake และ AI ที่หลอกเหยื่ออย่างแนบเนียน สถิติชี้คนวัยทำงาน 25-40 ปีตกเป็นเป้าสูงสุด โดยกว่า 60% เป็นผู้หญิง ขณะโซเชียลมีเดียคือช่องทางหลักที่มิจฉาชีพใช้ล่อลวง
ปัจจุบันอาชญากรรมออนไลน์กำลังทวีความซับซ้อน ตั้งแต่การหลอกลงทุนที่อ้างผลตอบแทนสูง การปลอมแอปฯ ให้เหมือนของจริง ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยี Deepfake และ AI สร้างเสียงหรือวิดีโอปลอม แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หรือคนใกล้ชิดเพื่อหลอกให้โอนเงิน
พันตำรวจเอกสุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามฯ สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถิติผู้เสียหายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกเพศทุกวัย โดยกลุ่มอายุ 25-40 ปีถูกโจมตีมากที่สุด คิดเป็น 70% และกว่า 60% เป็นผู้หญิง ขณะที่โซเชียลมีเดียคือช่องทางที่มิจฉาชีพใช้หลอกเหยื่อมากที่สุด กว่า 80%
ท่ามกลางภัยที่เปลี่ยนรูปแบบอย่างรวดเร็ว การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ เจ้าหน้าที่ชี้ว่าการสื่อสารเชิงรุกและความร่วมมือทุกภาคส่วนคือเกราะป้องกันสำคัญ ทั้งภาครัฐที่เร่งออกกฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์ ภาคการเงินที่แชร์ Fraud Trend ร่วมกัน ไปจนถึงเอกชนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยสกัดเบอร์มิจฉาชีพและเว็บไซต์ปลอม
รู้ทันมิจฉาชีพ จาก Deepfake สู่ Agentic AI
ไรวินทร์ วรวงษ์สถิตย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เตือนว่า จากเดิมที่มิจฉาชีพใช้วิธีขโมยบัตรหรือส่ง Phishing ผ่านอีเมลและ SMS ตอนนี้เทคโนโลยี Deepfake และ Generative AI ถูกนำมาใช้หลอกเหยื่อได้อย่างแนบเนียน และความน่ากังวลคือการมาถึงของ Agentic AI ที่สามารถคิดและโจมตีอัตโนมัติแบบเรียลไทม์
หนึ่งในกลโกงใหม่คือ ‘Shop Smart Agent’ ร้านค้าออนไลน์ปลอมที่ดึงข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อนำไปทำธุรกรรมทันทีในหลายประเทศ สะท้อนว่าภัยการเงินกำลังพัฒนาจนประชาชนยากจะแยกแยะ
ข้อมูลล่าสุดพบว่ากว่า 86% ของความเสียหายจากภัยไซเบอร์มาจาก Data Compromise โดยข้อมูลบัตรถูกนำไปใช้ทำธุรกรรมที่ต่างประเทศ ขณะเดียวกันกลโกงแบบเดิมอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือ SMS ปลอมก็ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยหลอกเหยื่อให้โอนเงินเข้าบัญชี รวมไปถึงการหลอกลวงให้มีการลงทุน ผ่านการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและธนาคาร จุดที่น่าห่วงที่สุดคือ ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค โดยเฉพาะรหัส OTP กำลังกลายเป็นอาวุธสำคัญของมิจฉาชีพ
“เราจึงอยากย้ำว่าทุกครั้งที่ได้รับข้อความแปลกๆ ต้องหยุดตรวจสอบก่อนทันที ไม่ควรรีบกดลิงก์หรือให้ข้อมูลโดยไม่ยืนยัน แนวทางป้องกันที่สามารถทำได้ทันทีคือ การไม่เปิดเผยรหัส CVV และ OTP ให้กับผู้ใดเด็ดขาด การตั้งวงเงินผ่าน Mobile Banking การเปิดการแจ้งเตือนทุกธุรกรรม รวมถึงเลือกใช้บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล (KTC Digital Card) ที่มี Dynamic CVV เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของธุรกรรมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพราะหากเผลอคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลไปแล้ว ต้องรีบอายัดบัตรและเปลี่ยนรหัสผ่านทันที อีกทั้ง ธนาคารจะไม่มีการส่งลิงก์แนบใน SMS เพื่อให้กรอกข้อมูลส่วนตัวอย่างเด็ดขาด หากพบข้อความลักษณะดังกล่าวต้องติดต่อ Call Center โดยตรงเพื่อยืนยันความถูกต้อง” ไรวินทร์ กล่าว
คำแนะนำจาก KTC เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ
นพรัตน์ สุริยา ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายป้องกันทุจริตบัตรเครดิตและร้านค้า ‘เคทีซี’ กล่าวเสริมว่า เคทีซีได้ทำงานใกล้ชิดกับกองบังคับการปราบปรามฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยล่าสุดได้ร่วมแจ้งเบาะแสเพื่อสกัดกั้นการกระทำอันทุจริตของแก๊งปลอมบัตรเครดิต เพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสมาชิกและสังคม
นอกจากนี้ สิ่งที่อยากฝากถึงสังคมคือ ครอบครัวควรมีบทบาทร่วมกันในการช่วยดูแลธุรกรรมของผู้สูงวัย ซึ่งมีความเปราะบางและมักตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ
โดยมีข้อแนะนำดังนี้
- ควรหมั่นพูดคุยให้คำแนะนำด้านความปลอดภัย
- ตรวจสอบ SMS หรือการแจ้งเตือนธุรกรรมอย่างสม่ำเสมอ
- ตั้งวงเงินจำกัดในการใช้บัตรเพื่อป้องกันความเสียหาย
- ติดตั้งแอปฯ ที่ช่วยกรองเบอร์โทรศัพท์ที่เป็นสแปม เช่น Whoscall และ
- อัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ผู้สูงวัยรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์