วันนี้ (7 พฤศจิกายน) ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครนประกาศเตือนว่า รัสเซียอาจจ้องโจมตีแหล่งผลิตพลังงานของยูเครนเพิ่มเติม หลังตัดกระแสไฟฟ้าและน้ำในกรุงเคียฟได้สำเร็จ ทางด้าน วิตาลี คลิตช์โก นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ มีคำสั่งให้ประชาชนเตรียมอพยพออกจากเมืองหลวงชั่วคราวแล้ว หากวิกฤตพลังงานในกรุงเคียฟมีทีท่ายาวนานยิ่งขึ้น
ผู้นำยูเครนระบุว่า ขณะนี้มีประชาชนกว่า 4.5 ล้านรายไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ แหล่งผลิตพลังงานกว่า 40% ของประเทศได้รับความเสียหาย โดยการถูกโจมตีและตัดทอนพลังงานในครั้งนี้อาจยิ่งทำให้วิกฤตพลังงานในช่วงฤดูหนาวปีนี้ของยูเครนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
คลิตช์โกชี้ว่า การที่กองทัพรัสเซียจ้องจะโจมตีโครงสร้างขั้นพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนนั้น ไม่ต่างจากการก่อการร้ายและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ
“ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียไม่ได้ต้องการประชาชนชาวยูเครนอย่างเรา เขาต้องการดินแดน เขาต้องการยูเครนที่ไม่มีพวกเรา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้จึงเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ หน้าที่ของเขาคือทำให้พวกเราตาย ทำให้พวกเราหนาวเหน็บ หรือทำให้เราต้องอพยพออกจากแผ่นดินบ้านเกิด เพื่อที่เขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”
นอกจากนี้ผู้นำยูเครนยังอ้างว่าอิหร่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนรัสเซียในศึกสงครามที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ขณะที่ทางการอิหร่านเองก็ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีการขายโดรนจำนวนหนึ่งให้กับทางการรัสเซียจริง แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นก่อนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะเปิดฉากขึ้นนานหลายเดือน
โดยเซเลนสกีเน้นย้ำว่า “ถ้าหากรัสเซียไม่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ยูเครนก็อาจเข้าใกล้สันติภาพมากยิ่งขึ้น” หลังสงครามดำเนินมานานกว่า 8 เดือนแล้ว และขอบเขตของความเสียหายยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
แฟ้มภาพ: Genya Savilov / AFP
อ้างอิง: