×

ฟัง XO ผู้คร่ำหวอดในตลาดซอส วิเคราะห์เกมภาษีทรัมป์ บีบทุกชาติเจรจา แนะธุรกิจไทยหาตลาดใหม่ แย้มแคนาดาเป็นโอกาสทองที่สุดในตอนนี้

10.04.2025
  • LOADING...
จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) วิเคราะห์เกมภาษีทรัมป์และโอกาสทางการค้าในตลาดแคนาดา

หลายประเทศทั่วโลกว้าวุ่นไปตามๆ กัน แม้ล่าสุดทรัมป์เกิดเปลี่ยนใจระงับการขึ้น อัตราภาษี 90 วันให้กับแก่ 75 ประเทศที่พยายามเข้าไปเจรจา รวมถึงประเทศไทย ด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร ยังไม่มีใครคาดการณ์ว่าบทสรุปของภาษีจะจบแบบไหน แต่สิ่งสำคัญที่ธุรกิจไทยก็ต้องทำคือเร่งปรับตัวและตั้งรับเพื่อฝ่ากำแพงภาษีนี้ไปให้ได้ 

 

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสสัมภาษณ์ จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO หนึ่งในบริษัทที่คร่ำหวอดในวงการ ซอสพริกและมีประสบการณ์ส่งออกสินค้าไปเจาะตลาดยุโรปนานหลายปี ซึ่งจะมาให้มุมมองและแนวคิดเพื่อตั้งรับกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่กำลังท้าทายกับหลายๆ ธุรกิจในช่วงนี้

 

จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ฉายภาพกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในฐานะของภาคเอกชนประเมินว่ากำแพงภาษีสหรัฐฯ จะกระทบต่อภาพรวมการส่งออกไทยและธุรกิจไทยที่เน้นพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แน่นอนและท่ามกลางความท้าทายนี้ 

 

มองว่าบริษัทที่ได้รับผลกระทบต้องปรับตัวด้วยการมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อ เช่น ประเทศ EU เพราะตอนนี้สหรัฐฯ คือประเทศเดียวที่มีปัญหา ส่วนประเทศอื่นยังค้าขายกันตามปกติ ยิ่งไปกว่านั้นต้องหาตลาดที่เหมาะกับธุรกิจของตัวเองและพยายามขายของคุณภาพ ไม่ต้องเน้นขายที่ปริมาณ ถ้าสินค้ามีคุณภาพก็จะสามารถขายได้ในราคาสูง เพราะยังไงผู้บริโภคก็ตัดสินใจซื้อ 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน)

 

ยิ่งไปกว่านั้นถึงวันนี้ประเทศไทยมีประชากรอยู่ 70 ล้านคน ซึ่งไทยเป็นประเทศเล็กๆ ถ้าเข้าไปเจรจากับสหรัฐฯ ประเทศเราอาจต้องยอมทำเกือบทุกอย่างที่สหรัฐฯ อยากได้เพื่อแลกกับการลดภาษี ถ้าให้แนะนำในมุมมองส่วนตัวคือไทยเป็นสมาชิกของอาเซียน ประเทศในอาเซียนมีประชากรรวมกันประมาณ 670 ล้านคน ถ้าจับมือคุยกัน หาแนวทางเข้าไปแลกเปลี่ยน จากนั้นค่อยส่งตัวแทนเข้าไปเจรจาจะทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น 

 

จับตาภาษีทรัมป์ เดาใจยากหรือแค่เกมต่อรองทางการค้า

 

ต้องยอมรับว่าเราไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าการกำหนดอัตราภาษีของแต่ละประเทศ ทรัมป์เลือกใช้วิธีคิดแบบไหน และไม่มีใครคาดการณ์ได้ หลายคนทราบกันดีว่าทรัมป์ไม่ใช่นักการเมืองตั้งแต่ต้น เพราะถ้าเป็นการเมืองตั้งแต่ต้นจริงๆ จะไม่ทำ

ในลักษณะนี้ 

 

แต่ตัวทรัมป์เหมือนเป็นนักธุรกิจ เห็นได้จากอดีตการเป็นนักธุรกิจของทรัมป์เคยประสบความสำเร็จสักครั้งหรือไม่ ซึ่งถ้าจำไม่ผิดตัวทรัมป์เคยล้มละลายมาแล้ว 6 รอบ แสดงให้เห็นว่าทำธุรกิจไม่เก่งเลย แล้วเมื่อได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดก็ย่อมอยากจะทำอะไรก็ได้ 

 

“เรามองว่าวิธีคิดของทรัมป์คือพยายามพูดอะไรที่ดูน่ากลัวและน่ากังวลมากๆ เพื่อให้ทุกประเทศเข้าไปต่อรองกับสหรัฐฯ นั่นเอง”

 

XO ยัน ไม่สะเทือนกำแพงภาษี! เดินหน้ารับโอกาสทองจากแคนาดา

 

สำหรับ XO ไม่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีดังกล่าว เราเป็นบริษัทที่มีการผลิตสินค้าในไทย เน้นส่งออกไปในยุโรปกว่า 100% ส่วนในไทยมีจำหน่ายแค่ในแพลตฟอร์ม Lazada และ Shopee แค่เล็กน้อย โดยในปี 2024 ที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้ในตลาดอเมริกาใต้ รวมถึงแคนาดา และเม็กซิโกมีไม่ถึง 10% โดยถ้าแบ่งเป็น อเมริกา มีอยู่แค่ 2% เท่านั้น

 

ถามว่าทำไม XO ถึงไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ช่วงนั้น บริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์ซอสรายใหญ่ในอเมริกามีปัญหาเรื่องซัพพลายเชน จากนั้นตลาดเริ่มเปิดโอกาสให้แบรนด์ซอสจากต่างประเทศ นำสินค้าเข้าไปจำหน่าย โดยแบรนด์ของเราก็ได้เข้าไปบุกตลาดด้วย แล้วได้รับการตอบรับดีมาก

 

จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) วิเคราะห์เกมภาษีทรัมป์และโอกาสทางการค้าในตลาดแคนาดา

 

ในช่วง 6 เดือนแรก สินค้ามีเท่าไหร่ก็ขายหมด จนตัวแทนจำหน่ายสั่งซื้อสินค้า เข้าไปจำนวนมาก เพราะมั่นใจว่าจะขายหมดแต่ตลาดก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาด และขายไม่ดีเหมือนช่วงแรกๆ 

 

ปัจจุบันในสหรัฐฯ จึงมีสต็อกตกค้างอยู่จำนวนมากและยังไม่มีการสั่งของล็อกใหม่เข้าไปเพิ่ม จึงทำให้ยอดขายในปี 2024 ลดลง โดยยอดขายในตลาดอเมริกาของบริษัท เหลือไม่ถึง 2% ถ้าเทียบกับยอดขายรวมของบริษัทพูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่มี 2% บริษัทก็ไม่ได้ลำบาก 

 

ตัดภาพไปที่ประเทศแคนาดา หลังจากขึ้นภาษีตอบโต้อเมริกาไปแล้ว สำหรับสินค้าทุกกลุ่มรวมถึงซอสด้วย ซึ่งถ้าใครที่จะนำเข้าซอสพริกที่ผลิตจากอเมริกาเข้าไปจำหน่ายในแคนาดาต้องจ่ายภาษีเพิ่ม 20% แปลว่าซอสที่นำเข้าจากอเมริกามาขายในแคนาดาแพงขึ้น 25% แน่นอนว่าทำให้ไทยเราได้เปรียบในการทำตลาดในแคนาดาอย่างมาก

 

ชี้ถ้าลงทุนตั้งโรงงานในสหรัฐฯ เสี่ยงไปไม่รอด 

 

จิตติพรกล่าวต่อไปว่า เกมภาษีที่ทรัมป์ต้องการ ปลายทางต้องการให้บริษัทต่างชาติ เข้าไปตั้งโรงงานและผลิตในอเมริกา เพื่อขายในคนอเมริกา ในมุมมองส่วนตัว ถ้าหาก XO ต้องไปลงทุนเปิดโรงงานที่อเมริกาและซื้อวัตถุดิบทั้งหมดจากอเมริกา เราต้องมั่นใจว่าแบรนด์แข็งแรงมากพอที่ผู้บริโภคอยากจะซื้อ ถ้าไม่มีคนซื้อ ลงทุนไปแล้วธุรกิจก็ไปไม่รอด ซึ่งสำหรับเรามองว่าเราจะไม่ได้เปรียบอะไรเลย

 

ที่ผ่านมาเคยมีตัวแทนชักชวนเข้าไปเปิดโรงงานในยุโรป เพื่อที่จะได้ต้นทุนที่ดีกว่า บริษัทบอกว่า เราจะไม่มีวันไปยุโรปเพราะถ้าไปแล้ว สินค้าก็ไม่ได้ Made in Thailand และมูลค่าสินค้าจะลดลงทันที เพราะคำว่า Made in Thailand ถ้าติดอยู่ บนตัวสินค้าแล้วจะแสดงออกถึงความเป็นพรีเมียมไทย

 

นอกจากนี้ถ้าลงทุนแล้วสำเร็จ ประเทศรอบข้างคงเคืองเรา ยกตัวอย่าง ตอนนี้ผู้บริโภคในประเทศแคนาดา ไม่ยอมซื้อสินค้าที่นำเข้าจากอเมริกาเลย เห็นได้จากเชลฟ์วางของในซูเปอร์มาร์เก็ต สินค้าของแคนาดาขายดีมาก ส่วนสินค้าจากอเมริกาขายไม่ได้เลย 

 

ตลาดซอสทั่วโลกโตไม่หยุด! แม้อเมริกาขายยาก แต่แคนาดาปังสุด 

 

เมื่อมาดูภาพรวมตลาดซอสหรือเครื่องปรุงรสทั่วโลก ปัจจุบันมี 5 แบรนด์ใหญ่ๆ สร้างยอดขายรวม 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ยังไม่รวมแบรนด์เล็กๆ ในตลาด โดยความเคลื่อนไหวทั้งหมดช่วยผลักดันให้ตลาดใหญ่และเติบโตขึ้นจากความต้องการของประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปีและซอสถือเป็นโปรดักต์ที่มีส่วนช่วยปรุงให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้น รวมถึงราคายังเข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย

 

ทั้งนี้ คู่แข่งในตลาดซอสก็มีหลายประเทศ เช่น มาเลเซียและเวียดนาม บางประเทศ ที่เน้นส่งออกไปสหรัฐฯ ก็ต้องสูญเสียโอกาสเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ไทย ซึ่งขณะนี้ XO ไม่กังวลอะไรเลย แม้ตลาดอเมริกาจะขายยากขึ้น แต่สวนทางกับประเทศแคนาดา เราขายง่ายขึ้น 

 

ยุทธศาสตร์ XO กล้าตั้งราคาสูง มั่นใจแบรนด์แกร่ง คู่ค้าหนุนยอดขายพุ่ง

 

สำหรับแผนระยะยาวที่บริษัทวางไว้ คือ ทุกๆ ปีได้นำสินค้าเข้าไปแสดงในงานแสดงสินค้ากว่า 24 งาน เพื่อขยายฐานลูกค้าในประเทศใหม่ๆ ที่มีโอกาส หรือเรียกง่ายๆ ว่าบุกทุกตลาดที่เราทำได้ ส่วนประเทศเดิมที่ทำตลาดอยู่แล้วก็พยายามสนับสนุนคู่ค้าทำกิจกรรมควบคู่กับจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นการขายมากขึ้น 

 

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต โดยในช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับราคาอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากเข้าตลาดพยายามแนะให้คู่ค้าเปลี่ยนมาซื้อด้วยเงินบาท จะได้ไม่ต้องปรับราคาสินค้าตามอัตราแลกเปลี่ยน และครั้งสุดท้ายเราปรับสินค้าทุกตัวราว 10% ซึ่งทุกครั้งที่มีการปรับขึ้นจะชี้แจงถึงต้นทุนส่วนไหนที่ปรับตัวสูงขึ้น 

 

จิตติพรย้ำว่า บริษัทเราเป็นผู้ผลิตซอสศรีราชาส่งออกจากโรงงานที่ผลิตในไทย ด้วยราคาที่แพงที่สุด เรียกว่าสูงกว่าเจ้าตลาดประมาณ 30% เลยทีเดียว 

 

แล้วทำไมเราถึงกำหนดราคาให้สูงได้ จริงๆ มันเป็นความโชคดีของธุรกิจ เรากำหนดราคาแบบนี้ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ประกอบกับบริษัทได้พาร์ตเนอร์หรือตัวแทนจำหน่ายที่ดี โดยได้ร่วมกันวางแผนการตลาดจนสินค้าเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งทางฝั่งตัวแทนขายก็ยอมรับกำไรน้อยลงเพื่อที่จะให้สินค้าขายดีและระบายออกได้ง่าย 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising