การประชุมสุดยอดผ่านระบบ Virtual ระหว่าง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เปิดฉากขึ้นในเวลา 19.45 น. วานนี้ (15 พฤศจิกายน) ตามเวลาของสหรัฐฯ หรือตรงกับ 07.45 น. ของวันนี้ (16 พฤศจิกายน) ตามเวลาในไทย ท่ามกลางการจับตามองจากทั่วโลกที่คาดหวังถึงผลลัพธ์จากการประชุม ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการประชุมร่วมของ 2 ผู้นำรอบที่ 3 นับตั้งแต่ที่ไบเดนเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
บรรยากาศการประชุมเริ่มต้นอย่างเป็นกันเอง โดยสีกล่าวว่า เขามีความสุขที่ได้เจอ ‘เพื่อนเก่า’ อย่างไบเดน พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญและความรับผิดชอบของจีนและสหรัฐฯ ที่มีต่อทั้งโลก ในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและเดินหน้าขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศไปในทิศทางที่เป็นบวก
“แม้มันจะไม่ดีเหมือนการประชุมกันต่อหน้า แต่ผมก็มีความสุขมากที่ได้เจอเพื่อนเก่า” สีกล่าว
ขณะที่ไบเดน ซึ่งนั่งประชุมจากห้องโรสเวลต์ในทำเนียบขาว กล่าวกับผู้นำจีนผ่านจอขนาดใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ให้คำมั่นในการหยิบยกประเด็นที่มีความกังวลเพื่อหารือในการประชุมรอบนี้ ซึ่งรวมถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนและประเด็นอื่นๆ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
“บางทีผมควรเริ่มต้นอย่างเป็นทางการมากขึ้น แม้ว่าคุณและผมจะไม่เคยเป็นทางการกันขนาดนั้น” ไบเดนกล่าว พร้อมทั้งเสริมว่า “ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น สำหรับผม ดูเหมือนจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงแค่ในประเทศของเรา แต่ยังกระทบโดยตรงไปยังทั่วโลก”
ทั้งนี้ สียืนยันว่าสิ่งสำคัญคือการที่ทั้ง 2 ประเทศนั้นต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และต้องการ ‘ความสัมพันธ์ที่มั่นคง’ ในขณะที่ชี้ว่า 2 ฝ่ายต้องมีการเพิ่มการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อแก้ไขปัญหาและความท้าทายมากมายที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งความสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างจีนและสหรัฐฯ นั้นจำเป็นต่อการเผชิญความท้าทายระดับโลก เช่น ภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และโควิด
“มนุษยชาติอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของโลกใบเดียวกัน เราเผชิญกับความท้าทายหลายอย่างร่วมกัน ในฐานะ 2 ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทั้งจีนและสหรัฐฯ มีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มการสื่อสารและความร่วมมือกัน” สีกล่าว
ขณะที่ไบเดนระบุว่า สหรัฐฯ และจีนนั้นมีการสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาเสมอ และไม่เคยถอยห่างจากกันในขณะที่สงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ พร้อมทั้งเสนอว่า 2 ประเทศจำเป็นต้องสร้าง ‘รั้วกั้นสามัญสำนึก’ เพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันระหว่างกันจะไม่หันเหไปสู่ความขัดแย้ง
“ทั้งคุณและผมได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกประเทศต้องเล่นไปตามกฎบนถนนเดียวกัน” เขากล่าว
สำหรับความเห็นของไบเดนนั้นดูเหมือนจะเชื่อมโยงไปยังประเด็นไต้หวัน ซึ่งเป็นประเด็นที่เพิ่มความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยจีนมองไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งที่แยกตัวออกไป แต่ไต้หวันที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมองตนเองเป็นรัฐอธิปไตย
ซึ่งตลอดหลายเดือนมานี้ สถานการณ์ระหว่างจีนและไต้หวันตึงเครียดขึ้น จากการที่จีนเพิ่มการส่งเครื่องบินกองทัพรุกล้ำน่านฟ้าไต้หวัน และแสดงความตั้งใจที่จะรวมชาติกับไต้หวันในอนาคต ทำให้หลายฝ่ายหวั่นวิตกว่าเหตุการณ์อาจบานปลายไปสู่สงคราม
ในขณะที่ไบเดนแสดงท่าทีว่าสหรัฐฯ พร้อมให้การช่วยเหลือไต้หวันในการป้องกันตนเองหากถูกจีนโจมตี โดยสื่อของทางการจีนรายงานว่าประธานาธิบดีสีอาจใช้โอกาสนี้เพื่อส่งสัญญาณให้สหรัฐฯ เลิกยุ่งเกี่ยวในประเด็นไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของ 2 ผู้นำรอบนี้ ยังมีประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่คาดว่าจะถูกหยิบยกขึ้นหารือ ซึ่งรวมถึงประเด็นความมั่นคงทางไซเบอร์ ความร่วมมือด้านการค้า และการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ตลอดจนการรับมือวิกฤตความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและโควิด
ภาพ: Photo by Alex Wong / Getty Images
อ้างอิง:
