หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมพลังงานไทย คงหนีไม่พ้นภาพของ ‘วิกฤต’ ที่ผลักให้ต้องตั้งรับ และ ‘โอกาส’ ที่เปิดให้ไทยต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น
วันนี้ THE STANDARD มีโอกาสพูดคุยกับ วุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้คร่ำหวอดในวงการพลังงานไทยมามากกว่า 30 ปี
ผู้เคยร่วมโต๊ะเจรจาระดับชาติ และร่วมพาองค์กรก้าวข้ามวิกฤตพลังงานมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ชวนวุฒิกร ย้อนรอยประสบการณ์และถอดบทเรียนแห่งความสำเร็จในฐานะผู้บริหารแถวหน้าของ ปตท.
เขาพาองค์กรฝ่าวิกฤตพลังงานได้อย่างไร และได้เรียนรู้อะไรระหว่างทาง
จุดเริ่มต้นในวงการพลังงาน
“วันที่เข้ามาสัมภาษณ์ที่ ปตท. ครั้งแรก รู้สึกเหมือนได้รับภารกิจสำคัญ”
วุฒิกรเริ่มเล่าถึงครั้งแรกที่เข้ามาพูดคุยก่อนตัดสินใจทำงานที่ ปตท. เขารู้สึกเหมือนได้รับภารกิจแห่งชาติ คือ การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทยที่ตอนนั้นยังเป็นช่วงเริ่มต้น เขามองว่านี่คือโอกาสที่ดี ที่จะได้ทั้งพัฒนาทักษะของตัวเองและทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติไปพร้อมกัน
“ย้อนกลับไปสมัยปีพ.ศ. 2516 ถึง 2522 เป็นช่วงที่มีวิกฤตน้ำมันโลก เดิมไทยนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศมากกว่า 80% แต่วิกฤตในครั้งนั้นทำให้ไทยต้องเร่งหาแหล่งพลังงานภายในประเทศ”
วุฒิกรเล่าถึงบริบทในช่วงนั้นว่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่หาง่ายเหมือนปัจจุบัน เป็นที่มาของการก่อตั้งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. ในปี พ.ศ. 2521 และภารกิจที่ ปตท. ได้รับ ก็คือ การวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตอ่าวไทยไปขึ้นฝั่งที่ จ.ระยอง
“ ทุกอย่างเกิดจากการวางแผนล่วงหน้า การขับเคลื่อน ปตท. ใช้หน่วยงานแผนกลาง และยืนอยู่บนหลักการและเหตุผล” วุฒิกรกล่าวเสริมเกี่ยวกับแนวทางที่ยึดถือในช่วงเริ่มต้นทำงาน
การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมพลังงานไทย
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมพลังงานไทยในภาพใหญ่ วุฒิกร ยอมรับว่าประเทศไทยมีพัฒนาการอย่างมาก โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ
“อุตสาหกรรมพลังงานไทยเติบโตขึ้นมาก จากเดิมที่พลังงานแทบทั้งหมดอยู่ในมือของต่างชาติ มีช่วงหนึ่งไทยเริ่มค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ และนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจัง หรือเป็นยุคโชติช่วงชัชวาล จนวันนี้ก๊าซธรรมชาติกลายเป็นพลังงานหลักของประเทศไปแล้ว”
อย่างไรก็ตามความมั่นคงด้านพลังงานของไทยยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากสถานการณ์โลกที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง
“จุดเปลี่ยนสำคัญของพลังงานไทยอีกครั้งเกิดขึ้นช่วงปี พ.ศ. 2562 ถึง 2564 ตอนนั้นเจอทั้งโควิด และต่อด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทั้ง 2 ช่วงมีความท้าทายต่างกัน ช่วงโควิดต้องปรับวิธีการทำงานใหม่หมด เนื่องจากความต้องการพลังงานลดลงมาก นอกจากนี้ยังต้องดูแลพนักงานให้ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการดำเนินงานของ ปตท. ให้เดินหน้าต่อไปได้ ส่วนช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ต้องรับมือกับราคา spot LNG ที่พุ่งสูงขึ้นซึ่งก็มีความท้าทายมากเช่นเดียวกัน”
วุฒิกรเล่าว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไทยรอดพ้นจากวิกฤตพลังงานในช่วงนั้นได้ คือการเตรียมพร้อมล่วงหน้าของ ปตท. ที่มองเห็นสัญญาณ และวางแผนรับมือไว้ก่อนแล้ว
“ปตท. คาดการณ์สถานการณ์ไว้ล่วงหน้า เราเลยวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งการนำเข้าพลังงาน และการวางโครงสร้างพื้นฐานรองรับเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจัดหา ทำให้แม้สถานการณ์โลกจะผันผวน แต่ประเทศไทยไม่ขาดแคลนพลังงาน”
เคล็ดลับบริหารองค์กรใหญ่ ฝ่าคลื่นแห่งความไม่แน่นอน
หลังจากพาองค์กรฝ่าวิกฤตพลังงานโลกมาแล้วหลายครั้ง วุฒิกร เล่าถึงหัวใจสำคัญในการบริหารองค์กรใหญ่อย่าง ปตท.ว่า ‘ต้องยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และเตรียมพร้อมล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ’
“ปตท.ให้ความสำคัญกับการมองไกล มีการจัด Strategic Thinking Session สำหรับผู้บริหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อวางแผน ประเมินโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แล้วหาวิธีรองรับความเสี่ยงก่อนที่จะกลายเป็นวิกฤตจริง”
ขณะเดียวกัน วุฒิกรก็ย้ำว่าองค์กรไม่อาจเติบโตได้ หากละเลยบทบาทที่มีต่อสังคม
“องค์กรจะโตอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโตไปกับสังคม ถ้ายังจำกันได้ ปตท.เคยทำโครงการใหญ่อย่างการปลูกป่า 1 ล้านไร่ หรือการดูแลชุมชนรอบพื้นที่ปฏิบัติงาน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราทำต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ทำเพราะต้องทำ แต่ทำเพราะเราเชื่อว่าองค์กรต้องมีบทบาทในสังคมจริงๆ”
นอกจากวิสัยทัศน์และการบริหารเชิงกลยุทธ์แล้ว วุฒิกรยังให้ความสำคัญกับ วัฒนธรรมองค์กรในการสร้างคนที่พร้อมจะเติบโตไปกับองค์กรในระยะยาว
“ปตท. มีค่านิยม SPIRIT ที่พนักงานทุกคนต่างยึดถือ เราต้องเป็นทั้ง ‘คนดี’ และ ‘คนเก่ง’ อยู่รวมกัน นอกจากนี้ยังยอมรับความแตกต่าง ขณะเดียวกันก็ต้องมีวินัย ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และตัดสินใจด้วยเหตุผลที่รอบด้าน เพราะเรามีกระบวนการและกฎระเบียบที่ชัดเจนกำกับอยู่ทุกขั้นตอน”
ทั้งหมดนี้ต้องดำเนินไปพร้อมกับความเข้าใจในพันธกิจที่สำคัญของ ปตท. ที่มุ่งสร้างความสมดุลระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
“เราต้องสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ แต่ก็ต้องทำธุรกิจให้เติบโตเพื่อผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นด้วย นอกจากนี้ยังต้องตอบสนองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรอบด้าน ทั้งภาครัฐ ลูกค้า และสังคมให้ดี นี่คือความท้าทายที่องค์กรที่ต้องรับมือ”
ความภาคภูมิใจในฐานะคน ปตท.
เมื่อถามถึงสิ่งที่วุฒิกรภาคภูมิใจที่สุดตลอดเส้นทางการทำงานใน ปตท. เขาตอบโดยไม่ลังเลว่า “ปตท.เป็นองค์กรที่ให้โอกาสคน”
“สมัยนั้น ผู้ใหญ่ในองค์กรเปิดโอกาสให้เราค่อนข้างมาก ผมมีโอกาสได้รับมอบหมายดูแลงานใหญ่ ได้ร่วมโต๊ะพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง รวมถึงหน่วยงานรัฐในหลายระดับ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ”
เขาเชื่อว่า หากใครเข้ามาทำงานใน ปตท. ด้วยความใฝ่รู้และตั้งใจจริง องค์กรจะเปิดพื้นที่ให้ได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยเขาเป็นผู้ที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของพลังงานไทยที่สำคัญ ทั้งการนำเข้า LNG เข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย ที่เดิมมี ปตท. เป็นผู้ดำเนินธุรกิจอยู่เพียงเจ้าเดียว ต้องเข้าสู่ระบบแข่งขัน มีการเปิดให้มีผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาดำเนินการในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของประเทศและปตท. ทั้งยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขวิกฤตพลังงาน ในหลายครั้งที่ผ่านมา เช่น เหตุการณ์หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและเมียนมา เหตุการณ์ช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้ราคา LNG พุ่งสูงขึ้น หรือช่วงที่เกิดรอยต่อสัมปทานของแหล่งเอราวัณและบงกช
“การอยู่ใน ปตท. ต้องเปิดรับและพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะโลกไม่หยุดนิ่ง ถ้าเราตั้งใจ ผมเชื่อว่าทุกคนมีความสำคัญ และสามารถเป็นฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนพลังงานของประเทศได้”
ด้วยแนวคิดที่เปิดรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ วุฒิกรจึงมีอีกสิ่งที่ภาคภูมิใจไม่แพ้กัน นั่นคือการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานพลังงานอย่าง Liquefied Natural Gas (LNG) หรือก๊าซธรรมชาติเหลวให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย และต่อมาได้ต่อยอดสู่โปรเจกต์นวัตกรรมหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ ‘Harumiki’ สตรอว์เบอร์รีสดๆ ที่ปลูกอย่างทะนุถนอมในโรงเรือนระบบปิดที่ใช้พลังงานความเย็นจาก LNG
“เมื่อเริ่มทำ LNG เราพบว่าความเย็นที่ทำให้ LNG ที่เป็นของเหลวเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซ สามารถนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรได้ จึงเป็นที่มาของร้าน Harumiki โดยใช้ความเย็นที่เกิดขึ้นจากกระบวนการแปรสภาพก๊าซ LNG นี้ ผสานกับความรู้ด้านการเกษตร เพื่อช่วยให้สตรอว์เบอร์รีเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ และต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ภายในร้าน”
จากภารกิจแรกจนถึงวันนี้ วุฒิกรผ่านทั้งความสำเร็จ ความท้าทาย และบทเรียนที่หลากหลาย แต่สิ่งที่เขาอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ไม่ใช่เพียงเรื่องของความเก่ง หากคือความตั้งใจ และหัวใจที่ไม่ย่อท้อ
“อยากให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์หรือทำได้ดีทุกครั้งเสมอไป ขอแค่มีความตั้งใจ และเชื่อในสิ่งที่เราทำ ถ้าเรายอมเปิดใจ เรียนรู้จากคนอื่น และพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ ผมเชื่อว่าทุกคนจะสำเร็จอย่างแน่นอน”