×

World Cup Memo Day 18: บทเรียนสุดท้ายในชีวิตของ คริสเตียโน โรนัลโด

07.12.2022
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MIN READ
  • ต้องชื่นชมหัวใจที่เด็ดเดี่ยวของ เฟร์นานโด ซานโตส โค้ชผู้อุปถัมภ์ค้ำชูซูเปอร์ฮีโร่ของประเทศจากเกาะมาเดรามาตลอด ที่กล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะกล้าทำจริงๆ ด้วยการเป็นโค้ชคนที่ 2 ต่อจาก เอริก เทน ฮาก ที่กล้าดรอป ‘CR7’ พ้นจากตำแหน่งตัวจริง
  • กอนซาโล รามอส กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ และกลายเป็นเจ้าของสถิติอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ในเกมแรกที่ลงสนามตัวจริงต่อจาก มิโรสลาฟ โคลเซ ที่ทำได้ในปี 2002 เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลกรอบน็อกเอาต์ตั้งแต่ปี 1990
  • นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงแล้วแค่ตรงนี้สำหรับนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโปรตุเกส โรนัลโดยังมีบทบาทที่สำคัญสำหรับโปรตุเกสอยู่ และเป็นบทเรียนสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะต้องเรียนรู้

ในช่วงเวลาแห่งการฉลองชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของทีมชาติโปรตุเกสหลังถล่มสวิตเซอร์แลนด์ขาดลอยถึง 6-1 ได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก ขณะที่ทุกคนในทีมเดินมาเพื่อขอบคุณกำลังใจจากแฟนบอลในสนาม คริสเตียโน โรนัลโด ตัดสินใจที่จะแยกตัวเดินออกมาเงียบๆ คนเดียว

 

ถึงจะมีภาพอีกมุมที่แสดงให้เห็นว่าโรนัลโดเองก็ขอบคุณกำลังใจจากแฟนๆ ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่การปลีกตัวออกมาแบบนี้ย่อมหลีกหนีเสียงวิจารณ์ไม่พ้น

 

ไม่มีสปิริต คิดถึงแต่ตัวเอง

 

อย่างไรก็ดี หากลองคิดในมุมกลับกันก็จะพบว่ามันพอมีเหตุผลที่เข้าใจได้กับทุกสิ่งที่โรนัลโดแสดงออกมา ไม่ใช่เฉพาะแค่ในเกมนี้ แต่เป็นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

 

เขาไม่ใช่นักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่คนแรกที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน มีผู้ยิ่งใหญ่ก่อนหน้ามากมายที่เคยเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน

 

ชะตากรรมของผู้ยิ่งใหญ่ที่ตื่นเช้ามาเพื่อพบกับความจริงว่าวันเวลาของเขากำลังจะหมดลง

 

หนึ่งในนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ็บปวดที่สุดคล้ายกันคือ ฟรานเชสโก ต็อตติ ราชาแห่งกรุงโรมที่ไม่มีวันยอมรับว่าวันเวลาของเขากำลังจะหมดลง และนั่นนำไปสู่ช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดระหว่างทั้งเขา ทีม สโมสร หรือแม้แต่แฟนฟุตบอลเอง

 

ไม่ใช่ไม่รัก ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่บางครั้งการยื้อหรือรั้งเอาไว้ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา มีแต่เจ็บด้วยกันทุกฝ่าย

 

โรนัลโดและทีมชาติโปรตุเกสเองก็เช่นกัน ซึ่งต้องชื่นชมหัวใจที่เด็ดเดี่ยวของ เฟร์นานโด ซานโตส โค้ชผู้อุปถัมภ์ค้ำชูซูเปอร์ฮีโร่ของประเทศจากเกาะมาเดรามาตลอด ที่กล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะกล้าทำจริงๆ ด้วยการเป็นโค้ชคนที่ 2 ต่อจาก เอริก เทน ฮาก ที่กล้าดรอป ‘CR7’ พ้นจากตำแหน่งตัวจริง

 

การตัดสินใจที่อาจจะดีที่สุดต่อทุกฝ่าย

 

อย่างน้อยมันดีแน่สำหรับทีมชาติโปรตุเกส เมื่อผลงานในสนามนั้นบอกชัดด้วยการไล่ถลุงทีมที่ดีอย่างสวิตเซอร์แลนด์ขาดลอยถึง 6-1 โดยคนที่ได้โอกาสในการลงสนามแทนที่โรนัลโดอย่าง กอนซาโล รามอส ซึ่งได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในนามทีมชาติ ตอบคำถามว่าทำไมเขาถึงได้โอกาสก่อนด้วยการทำแฮตทริกได้ทันที!

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฟังดูไม่น่าเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้กองหน้าวัย 21 ปี ผู้ก้าวมาจากระบบเยาวชนของเบนฟิกา และเป็นแค่ตัวดาวรุ่งในระดับทีมชาติชุดเยาวชนแทบเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน ในนามทีมชาติโปรตุเกสเองเคยมีเวลาอยู่ในสนามก็เพียงแค่ 35 นาทีเท่านั้น

 

รามอส กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ และกลายเป็นเจ้าของสถิติอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ในเกมแรกที่ลงสนามตัวจริงต่อจาก มิโรสลาฟ โคลเซ ที่ทำได้ในปี 2002 เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลกรอบน็อกเอาต์ตั้งแต่ปี 1990

 

ดาวดวงใหม่ถือกำเนิดแล้ว กอนซาโล รามอส

 

รวมถึงเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดลำดับที่ 2 ที่ยิงแฮตทริกในฟุตบอลโลกรอบน็อกเอาต์ได้ด้วยวัย 21 ปี 169 วัน โดยคนที่อายุน้อยที่สุดที่ทำได้ (และอาจจะไม่มีใครทำได้อีกแล้ว) คือ เปเล ราชาลูกหนังที่ทำได้ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 1958 ด้วยวัย 17 ปี 244 วัน

 

ถือเป็นวันแจ้งเกิดที่มหัศจรรย์สำหรับเด็กหนุ่มผู้ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ของฟุตบอลโลกหนนี้อย่างแท้จริง

 

การเปลี่ยนแปลงมาใช้รามอสในสนามยังถูกมองว่าเป็นการปลดเปลื้องโปรตุเกสให้กลายเป็นทีมที่ดีขึ้น ลงตัวขึ้น ไหลลื่นขึ้นมากยิ่งกว่าในวันที่โรนัลโดปักหลักเป็นหัวหอกในสนาม ซึ่งในฟุตบอลโลกหนนี้แม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลคนแรกของโลกที่ทำประตูในฟุตบอลโลกได้ 5 สมัยติดต่อกัน แต่มันก็มาจากการยิงจุดโทษ โอกาสอื่นๆ ในลูก Open Play นั้นถูกทิ้งขว้างไปหมด

 

เช่นนั้นหมายถึงตอนนี้รามอสได้แซงหน้าโรนัลโดขึ้นมาเป็นกองหน้าตัวหลักของทีมร่วมกับ ชูเอา เฟลิกซ์ โดยที่ บรูโน แฟร์นันด์ส จะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของทีมแทนที่ของ CR7 ในเรื่องบทบาทในสนาม

 

แล้วโรนัลโดจะเหลืออะไร?

 

ตรงนี้เองที่เป็นจุดที่บางทีเราอาจต้องทำความเข้าใจในมุมของคนอย่างโรนัลโด คนที่เคยเป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่เคยเป็นรองใครทั้งนั้น และเชื่อมาโดยตลอดว่าเขายังคงรักษาความสุดยอดเอาไว้ได้เหมือนเดิม หรือลดจากเดิมก็ไม่มาก

 

คนที่วาดภาพฝันเอาไว้ว่าจะปิดฉากชีวิตการเล่นตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด งดงามที่สุด ทุกอย่างจะต้องเป็นไปในแบบที่เขาต้องการมากที่สุด

 

นี่เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตแล้วที่โรนัลโดต้องพบกับความจริงว่ามันจะไม่เป็นไปในแบบที่เขาคิด หลังจากที่ครั้งแรก เทน ฮาก ได้ทำให้เขารับรู้กับความจริงว่าเขาไม่ใช่คนเดิม หรือนักฟุตบอลที่แตะต้องไม่ได้อีกต่อไป

 

คราวนี้ยิ่งเจ็บกว่ากับทีมชาติโปรตุเกส กับโค้ชที่อุ้มชูกันมาอย่างซานโตส และมันมาเกิดในฟุตบอลโลกที่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตด้วย

 

ลองจินตนาการถึงความรู้สึกของโรนัลโด บางทีเราอาจจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำมากขึ้น

 

อย่างไรก็ดี นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงแล้วแค่ตรงนี้สำหรับนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโปรตุเกส ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกกี่ชั่วนาตาปีก็จะไม่มีใครลบล้างเรื่องนี้ไปได้

 

โรนัลโดยังมีบทบาทที่สำคัญสำหรับโปรตุเกสอยู่ และเป็นบทเรียนสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะต้องเรียนรู้

 

โรนัลโดยังมีบทบาทในทีมชาติโปรตุเกส อยู่ที่เขาจะยอมรับมันได้ไหม

 

บทบาทของการถอยและปล่อยวางเพื่อมาเป็นผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง เพราะนับจากนี้ศึกของโปรตุเกสในฟุตบอลโลกครั้งนี้จะยิ่งทวีความยากมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และบางทีมันอาจจะมีบทบาทหรือช่วงเวลาที่รอให้โรนัลโดปรากฏตัวอย่างแน่นอน

 

เพียงแต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก เพราะสำหรับเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การพิชิต

 

หากแต่เป็นเรื่องของการยอมรับและปล่อยวางทุกอย่างลง เพราะมันคือสัจธรรมของชีวิตที่ไม่มีใครหรอกที่จะเป็นผู้พิชิตไปตลอดกาล

 

ต่อให้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าก็ต้องกลับมาเป็นธุลีดิน

 

ถ้าโรนัลโดทำใจยอมรับได้ บทสุดท้ายในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาจจะไม่งดงามอย่างภาพในจินตนาการ แต่อย่างน้อยที่สุดมันจะนำไปสู่ฉากสุดท้ายที่สง่างาม

 

เมื่อปล่อยวาง ผู้คนจะกลับมานึกได้อีกครั้งถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยทำมา เสียงปรบมือจะดังกึกก้อง แม้กระทั่งดอกไม้ใบใหญ่แห่งเกาะมาเดราก็จะน้อมคำนับให้

 

ยังแอบหวังว่าโรนัลโดจะทำได้ แต่บางครั้งการทำใจยอมรับอะไรบางอย่างต้องให้เวลา โรนัลโดอาจต้องการพื้นที่ส่วนตัวและเวลาไม่ต่างกัน

 

อัชราฟ ฮาคิมี รับจุมพิตฉลองชัยชนะจากแม่

 


 

บันทึกเพิ่มเติม

 

  • ชัยชนะเหนือสเปนนั้นไม่ใช่เพียงแค่ครั้งแรกที่โมร็อกโกได้ผ่านเข้ารอบลึกถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือก้าวผ่านทีมในตำนานที่เป็นทีมชาติแอฟริกาทีมแรกที่ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้ในปี 1986 แต่ยังเป็นชัยชนะเหนือชาติที่มีแค่ช่องแคบยิบรอลตาร์คั่นกลาง แต่เหนือกว่าทุกอย่าง ทุกด้าน ความหมายมันมากมายนัก
  • หนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้ทีมชาติโมร็อกโกชุดนี้ทำผลงานได้มหัศจรรย์คือ การที่ให้พ่อแม่ของนักฟุตบอลเดินทางมาร่วมกับทีมด้วย เราเลยได้เห็นภาพน่ารักๆ ที่ อัชราฟ ฮาคิมี เดินไปหาแม่หลังจบเกมเพื่อฉลองชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน
  • อัชราฟ ฮาคิมี แม้จะเกิดที่มาดริด โตที่มาดริด แต่ไม่เคยคิดจะเล่นให้ทีมชาติสเปน ต้องการจะเล่นให้แต่โมร็อกโกตามสายเลือดที่แท้จริงของพ่อแม่เท่านั้น
  • สเปนกลายเป็นทีมที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้แทน หลังเปิดฉากอย่างเร้าใจด้วยการถล่มคอสตาริกา 7-0 หลังจากนั้นไม่สามารถเล่นในฟอร์มนั้นได้อีกเลย และมองเห็นจุดอ่อนสำคัญคือเกมรุกที่ไม่เด็ดขาดเท่าชาติอื่น
  • รวมถึงลูกจุดโทษที่ขนาดซ้อมยิงกันมากว่า 1,000 ครั้ง แต่ยิงไม่เข้าเลยแม้แต่ลูกเดียว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising