🇦🇷 เอนโซ เฟร์นันเดซ | สโมสร: เบนฟิกา
แจ้งเกิดแบบเต็มตัว สำหรับ ‘เอนโซ เฟร์นันเดซ’ มิดฟิลด์วัย 21 ปีของเบนฟิกา แม้ในช่วงต้นของทัวร์นาเมนต์อาจจะไม่ใช่ผู้เล่นตามแผน 11 ตัวจริงชุดแรกของ ลิโอเนล สกาโลนี แต่การที่เจ้าตัวเริ่มได้พิสูจน์ตัวจากการเป็นตัวสำรองหลังนาทีที่ 50 ใน 2 นัดแรก ด้วยการเค้นฟอร์มเก่ง ทำหน้าที่เชื่อมเกมแดนกลางให้กับทีมได้เป็นอย่างดี ทำให้นัดที่พบกับโปแลนด์ลากยาวมาถึงนัดชิงชนะเลิศ แข้งหนุ่มจากซาน มาร์ติน ถูกเลือกให้เป็นผู้เล่นกำลังหลักในแดนกลางมาโดยตลอด จนได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์มาครองในที่สุด
🇳🇱 โคดี กักโป | สโมสร: พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน
นับเป็นนักเตะที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของทัพ ‘อัศวินสีส้ม’ เนเธอร์แลนด์ สำหรับ ‘โคดี กักโป’ แนวรุกวัย 23 ปีของพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน แม้ทีมจะยุติเส้นทางตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ผลงานสร้างชื่อของเจ้าตัวในทัวร์นาเมนต์บอลโลกครั้งนี้คงหนีไม่พ้นการจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็นดาวซัลโวของทีมชาติที่ 3 ประตู ซึ่งทั้ง 3 ประตูนั้นส่งผลให้กักโป กลายเป็นนักเตะเนเธอร์แลนด์คนแรกที่ทำประตูได้จาก 3 นัดแรก (รอบแบ่งกลุ่ม) ในศึกฟุตบอลโลก
🏴 จูด เบลลิงแฮม | สโมสร: โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
แม้จะลงเล่นในสีเสื้อ ‘ทรีไลออนส์’ มาประมาณหนึ่งแล้ว สำหรับ ‘จูด เบลลิงแฮม’ มิดฟิลด์วันเดอร์คิดของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แต่ผลงานในฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้สร้างชื่อให้เบลลิงแฮมแบบเต็มตัวในฐานะนักเตะกำลังหลักของทีมชาติอังกฤษในแผงแดนกลางด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น โดยมีผลงานลงเล่น 5 นัด ยิง 1 และแอสซิสต์อีก 1 ครั้ง และแม้อังกฤษจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่อย่างน้อยชื่อของเด็กคนนี้ได้เป็นที่จดจำของแฟนบอลทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว
🇲🇦 ยาสซีน บูนู | สโมสร: เซบียา
ถึงอายุอานามจะล่วงเลยเข้าวัย 31 ปี แต่ผู้รักษาประตูของเซบียารายนี้ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่มาสร้างชื่อได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้เด็กดาวรุ่งรุ่นใหม่ ด้วยผลงานการเซฟประตูแบบอุตลุดตั้งแต่ในรอบแบ่งกลุ่ม จนทีมสามารถจบ 3 นัดแรกด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ก่อนจะมาช็อกโลกด้วยการไล่เขี่ยทีมที่มีชื่อชั้นเหนือกว่าอย่างสเปน ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย และโปรตุเกส ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ซึ่งผลงานเหล่านี้ เครดิตส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ ยาสซีน บูนู ที่สามารถช่วยทีมเซฟในจังหวะสำคัญๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ทีมม้ามืดอย่างโมร็อกโกจบอันดับ 4 ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ไปอย่างประทับใจแฟนบอล
🇭🇷 ยอสโก กวาร์ดิโอล | สโมสร: แอร์เบ ไลป์ซิก
เป็นผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กอีกรายที่สร้างความประทับใจให้แฟนบอลในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ภายใต้หน้ากากกันกระแทกสีดำอย่าง ‘ยอสโก กวาร์ดิโอล’ หลังเป็นหนึ่งในนักเตะสายเลือดใหม่ของทัพโครแอตที่ถูก ซลัตโก ดาลิช เลือกใช้บริการเป็นตัวจริง 7 นัดติดต่อกันด้วยวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น และด้วยรูปร่าง ความสามารถ รวมถึงความคล่องตัวที่หยุดเกมรุกคู่แข่งได้ดี ถือเป็นส่วนสำคัญให้ทีมตาหมากรุกจบฟุตบอลโลกหนนี้ด้วยการเป็นอันดับที่ 3
🇵🇹 กอนซาโล รามอส | สโมสร: เบนฟิกา
อาจไม่ได้เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ดีอย่างที่คาดหวังสำหรับทีมชาติโปรตุเกส หลังต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของโมร็อกโก แต่สิ่งที่นับเป็นหมุดหมายที่ดีของทีมคือการที่กองหน้าวัย 21 ปีของเบนฟิกาอย่าง ‘กอนซาโล รามอส’ สามารถแจ้งเกิดได้เต็มตัว ด้วยการตะบันแฮตทริกในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ และด้วยความยอดเยี่ยมนี้เองที่สามารถทำให้เจ้าตัวขยับขึ้นเป็นตัวเลือกแรกๆ ของทีมแทนที่ดาวเตะซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด ในช่วงหลัง
🇦🇷 ฮูเลียน อัลวาเรซ | สโมสร: แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทำผลงานได้สมราคาหมายเลข 9 ของทีมมากๆ สำหรับกองหน้าวัย 22 ปีจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ‘ฮูเลียน อัลวาเรซ’ ที่เข้ามาเป็นกำลังหลักในแผงเกมรุกของทัพฟ้า-ขาว และประสานงานกับ ลิโอเนล เมสซี รวมถึงแข้งรายอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี จนนำไปสู่การทำผลงานลงเล่น 7 นัด ยิงไป 4 ประตู และทำอีก 1 แอสซิสต์ ซึ่งแข้งรายนี้นับเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้อาร์เจนตินาเถลิงแชมป์โลกสมัย 3 อย่างยิ่งใหญ่
🇭🇷 โดมินิก ลิวาโควิช | สโมสร: ดินาโม ซาเกร็บ
เข้ามาเป็นมือหนึ่งของทีมชาติโครเอเชียได้อย่างไม่มีตกหรือบกพร่องเลยสำหรับ ‘โดมินิก ลิวาโควิช’ มือกาววัย 27 ปีจากดินาโม ซาเกร็บ ที่ต้องมารับช่วงต่อจากนายทวารรุ่นพี่อย่าง ดานิเยล ซูบาซิช หลังทำผลงานเซฟลูกยิงคู่แข่งได้มากถึง 24 ครั้งในฟุตบอลโลกหนนี้ ซึ่งมากกว่าผู้รักษาประตูทุกคน รวมถึงช็อตเซฟจุดโทษที่เขี่ยญี่ปุ่นและบราซิลตกรอบมาแล้ว นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สื่อต่างประเทศหลายสำนักเทใจยกให้ ลิวาโควิช ติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ แม้เจ้าของรางวัล Golden Glove (ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม) จะเป็นของ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ก็ตาม