วันนี้ (20 พฤศจิกายน) ที่ Groove at centralwOrld ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย แถลงข่าวขอบคุณผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2020 ทั้งในส่วนภาครัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานบอร์ดกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และประธานบอร์ดการกีฬาแห่งประเทศไทย
ดร.ก้องศักด เปิดเผยว่า “ฟุตบอลโลกถือเป็นหนึ่งในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่แพ้กีฬาโอลิมปิก เป็นการแข่งขันกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดชนิดหนึ่งในโลกอีเวนต์ และเป็นรายการกีฬาที่ทุกคนทั่วโลกและคนไทยให้ความสนใจ การที่รัฐบาลและภาคเอกชนพยายามอย่างหนักในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขัน ก็เพื่อต้องการให้คนไทยทุกคนได้รับชมอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ถือเป็นการปลูกฝังให้คนไทยสนใจชมกีฬา เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมให้ประชาชนและเยาวชนในการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย และพัฒนาทักษะฟุตบอล ต้องขอบคุณทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องที่ทุ่มเททำงานอย่างหนัก จนสามารถบรรลุการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกมาให้คนไทยได้ชมกันครบ 64 แมตช์แบบทันเวลา
ในขณะที่หลายฝ่ายพยายามทุ่มเททำงานกันอย่างหนักตลอด 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนจะสามารถเจรจากับตัวแทนสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) จนได้ราคาลิขสิทธิ์ที่ลงตัว 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,200 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมค่าภาษีและการดำเนินการต่างๆ ด้วย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท สำหรับการชำระค่าลิขสิทธิ์ FIFA ให้ประเทศไทยแบ่งชำระ 2 งวด คือ งวดแรกก่อนเกมนัดเปิดสนาม ซึ่งใช้งบประมาณที่ได้รับมาจาก กสทช. ชำระไปแล้วจำนวน 600 ล้านบาท และอีกงวด 600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินสนับสนุนจากภาคเอกชนที่จะชำระภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้
ต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ทั้งในส่วนภาครัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานบอร์ดกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และประธานบอร์ดการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมด้วยภาคเอกชน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน), บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมมอบความสุขให้คนไทยได้รับชมบอลโลกฟรีครบทั้ง 64 แมตช์
ในการถ่ายทอดสดครั้งนี้จะถ่ายทอดทางฟรีทีวีทั้งหมด 17 ช่อง ประกอบด้วย True4U, T Sports 7, JKN18, ช่อง 3 HD, MONO29, ช่อง 7HD, ไทยรัฐ TV, Thai PBS, ช่อง 8, PPTV HD 36, NBT, GMM25, ช่อง 9 MCOT, Nation TV, Amarin TV, one31 และ ททบ.5
“โดยแม้เวลาจะกระชั้นชิด แต่ที่ผ่านมาก็ได้มีการเรียกประชุมและหารือกับสถานีโทรทัศน์มาบ้างแล้ว และยืนยันว่าคนไทยจะได้ชมฟุตบอลโลก 64 นัดแบบจุใจทางฟรีทีวีตั้งแต่เกมเปิดสนาม วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ วันที่ 18 ธันวาคม 2565
“นอกจากการรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ผ่านทางฟรีทีวีทั้ง 17 ช่องแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมสร้างกระแสชม เชียร์ ดูจอใหญ่ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยจะมีการตั้งจอใหญ่ให้ได้ชมและเชียร์กันเต็มอิ่มตลอดการแข่งขัน ที่กรุงเทพฯ สามารถดูได้ที่ Groove at centralwOrld ในส่วนภูมิภาคสามารถรับชมได้ที่จังหวัดเชียงใหม่, สุพรรณบุรี, ชลบุรี, นครราชสีมา และสงขลา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรับชม ได้เปลี่ยนบรรยากาศ เพิ่มอรรถรสในการชม และร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ในงานได้อีกด้วย
“ต้องขอบคุณทางกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติที่สนับสนุนให้เกิดกิจกรรมนี้ขึ้นด้วย” ดร.ก้องศักด กล่าว
สำหรับศึกฟุตบอลโลก 2022 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 22 โดยปีนี้ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพ จัดชิงชัยระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคม 2565 และจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะใช้ระบบการแข่งขันแบบ 32 ทีม ประเทศไทยจะถ่ายทอดสดทางฟรีทีวีครบทั้ง 64 แมตช์ ประเดิมด้วยเกมนัดเปิดสนาม กลุ่ม A ระหว่างเจ้าภาพกาตาร์ พบกับทีมชาติเอกวาดอร์ แข่งขันที่สนามอัลบัยต์สเตเดียม เวลา 23.00 น. โดยเกมนี้จะถ่ายทอดสดทางช่อง True4U และ T Sports 7
