เช้านี้ ทีมงาน THE STANDARD ยังคงปักหลักรายงานสดจากเวที World Economic Forum on Asean 2018 ครั้งล่าสุด ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ที่มีผู้นำในภูมิภาคอาเซียนเข้าร่วม 9 ประเทศ ถือเป็นงานประชุมนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียในปี 2018 และเป็นการประกาศศักยภาพของเวียดนาม ซึ่งกำลังพัฒนาบทบาทของตนเองในการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจเทคโนโลยีในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก
สำหรับเวทีช่วงเช้าที่น่าสนใจในหัวข้อ ‘A New Political Generation’ มี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขึ้นพูดพร้อมกับ เกรซ นาตาลี แห่งพรรค Indonesian Solidarity Party (PSI) พรรคการเมืองใหม่ขวัญใจคนรุ่นใหม่ของอินโดนีเซีย ที่มีนโยบายส่งเสริมสิทธิสตรี
ธนาธรเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวกับผู้เข้าร่วมงานในเวทีนี้ว่า ในอดีตเขาเคยเป็นนักธุรกิจ ขณะที่ปัจจุบันได้กระโดดเข้ามาทำงานการเมือง เป็นนักการเมืองได้ 6 เดือนแล้ว
เขาเล่าถึงประสบการณ์และที่มาที่ไปของชีวิตว่า ปัจจุบันเขามีอายุ 40 ปี เขาอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย โดยที่ผ่านมาไทยมีประชาธิปไตยมา 86 ปีแล้ว เรามีรัฐธรรมนูญกว่า 20 ฉบับ มีนายกฯ 29 คน ซึ่งรัฐธรรมนูญ 1 ฉบับ มีอายุประมาณ 4 ปี และนายกฯ หนึ่งคนอยู่ในตำแหน่งได้ประมาณ 3 ปี และมีรัฐประหารทุก 6 ปี
ธนาธรได้อธิบายถึงผลพวงจากการรัฐประหารซ้ำซากในสังคมไทยว่า ภาวะเช่นนี้ฉุดรั้งประเทศจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และเศรษฐกิจโดยรวมก็ไม่สามารถเติบโตได้โดยปราศจากความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากการผูกขาดอำนาจย่อมทำให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจและทรัพยากรต่างๆ ด้วย
ธนาธรย้ำว่า การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ มีจุดประสงค์เพื่อนำไทยออกจากวังวนแห่งการรัฐประหาร คืนการเมืองให้กลับมาเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของชนชั้นนำเพียง 1% ของสังคม อนาคตใหม่ต้องการชี้ให้สังคมเห็นว่า ความขัดแย้งทางการเมืองไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างประชาชนต่างสีเสื้อ ต่างอุดมการณ์ทางการเมือง แต่คู่ขัดแย้งที่แท้จริงคือ ชนชั้นนำที่กุมอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ผูกขาดทรัพยากร กับประชาชนทุกกลุ่ม ทุกสีเสื้อ ที่ต่างตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งทางการเมืองอันยาวนาน อนาคตใหม่ต้องการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างคนทุกกลุ่ม ทุกอุดมการณ์ เพื่อทวงอำนาจทางการเมืองกลับคืนมาเป็นของประชาชนอีกครั้ง
ขณะที่ในเวทีนี้ ธนาธรยังได้นำเสนอโรดแมปการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างสันติ นำคนไทยทั้งประเทศออกจากวังวนของความขัดแย้งทางการเมือง โดยอันดับแรก พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องชนะเลือกตั้ง ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา แล้วเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จากนั้นให้ประชาชนลงประชามติ เพื่อรับรองการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและยกร่างใหม่ จำเป็นต้องให้มีการทำประชาพิจารณ์ ใช้กระบวนการที่โปร่งใส และให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งแบบเดิมอีก รวมทั้งอะไรก็ตามที่เป็นกฎกติกาที่ออกโดย คสช. จะต้องนำออกไปทั้งหมด
ธนาธรยังบอกอีกว่า ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยเป็นประเทศต้นแบบประชาธิปไตยและการพัฒนาของเพื่อนบ้าน เขาบอกว่าจากนี้จะอุทิศตัวเองเพื่อที่จะทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องประชาธิปไตย
ขณะเดียวกัน ธนาธรยังชวนมองย้อนไปดูภาพ 10 ปีที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียน เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ซึ่งเป็นปัญหาในอาเซียนมาโดยตลอด ธนาธรเรียกร้องให้อาเซียนรวมตัวกัน เพื่อผลักดันการใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ เพราะกระบวนการปกครองกดขี่เกิดไม่ใช่แต่ในไทย แต่เกิดขึ้นในอาเซียนด้วย ขอเรียกร้องให้อาเซียนลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้
สื่อต่างชาติได้ถามธนาธรถึงนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของอนาคตใหม่ เขายืนยันว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะกล่าวถึงนโยบายในเชิงรายละเอียด แต่ในขณะนี้สามารถยืนยันได้ว่าอนาคตใหม่ต้องการสร้างรัฐสวัสดิการที่ดีกว่าในปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
ธนาธรยอมรับว่า การเจาะกลุ่มฐานเสียงในต่างจังหวัดของพรรคอนาคตใหม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก ขณะที่ในช่วง 80 กว่าปีที่ไทยมีประชาธิปไตย คนที่สู้เพื่อสิ่งนี้ บางคนถูกจับ ต้องออกนอกประเทศ หรือเสียชีวิต เขามองว่า โซเชียลมีเดียจะสร้างการเปลี่ยนแปลงแน่นอน โดยอนาคตใหม่จะเน้นด้านนี้ และลงไปพบกับประชาชนในพื้นที่ ทำสองทางคือ Online และ On Ground
สุดท้าย ผู้เข้าร่วมฟังในเวทีนี้ยังสอบถามถึงคดีที่ คสช. ฟ้องร้อง ธนาธรยืนยันว่า การพูดความจริงไม่มีทางสร้างความตื่นตระหนกได้ และตนเองมั่นใจว่า นี่คือการฟ้องร้องเชิงกลยุทธ์ เพื่อพยายามปิดปากไม่ให้ตนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
.
ธนาธรยังย้ำด้วยว่า เสรีภาพในการพูดควรเป็นของคนไทยทุกคน เพื่อการนำประชาธิปไตยกลับคืนมา จำเป็นต้องสร้างบรรทัดฐาน ขีดเส้นใหม่ในสังคมว่าทุกคนต้องมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
สามารถติดตามชมการพูดคุยบนเวทีย้อนหลังได้ที่
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
