×

ฟุตบอลโลก ซาอุดีอาระเบีย 2034: จุดเริ่มต้น ความหมาย และปลายทาง

01.11.2023
  • LOADING...
ถ้วยฟุตบอลโลก

ฟุตบอลโลก 2034 ได้ชาติเจ้าภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พ้นเส้นตายการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (31 ตุลาคม) และมีชาติที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพเพียงชาติเดียวคือ ‘ซาอุดีอาระเบีย’ หลังจากที่ออสเตรเลียถอนตัวจากการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพก่อนหน้าเส้นตายเพียงไม่กี่ชั่วโมง

 

สถานการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นใจให้ซาอุดีอาระเบียได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในอีกราว 1 ทศวรรษข้างหน้าเป็นอย่างมาก และทำให้ชาติมหาอำนาจจากตะวันออกกลางรายนี้ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกอย่างที่พวกเขาต้องการ หลังเคยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมในฟุตบอลโลก 2030 มาก่อน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจถอนตัวไปเพื่อเสนอตัวเพียงชาติเดียวในฟุตบอลโลก 2034

 

การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ทำให้ฟุตบอลโลกกลับมาถูกจัดในเอเชียอีกครั้งในรอบ 12 ปี หลังจากฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์เพิ่งจบลงไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และนั่นยังหมายความว่าฟุตบอลโลกได้กลับมาจัดการแข่งขันในประเทศตะวันออกกลางในรอบ 12 ปีด้วยเช่นกัน

 

เส้นทางการเป็นเจ้าภาพของซาอุดีอาระเบีย

 

หากจะย้อนเส้นทางการได้เป็นเจ้าภาพของซาอุดีอาระเบียในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ต้องย้อนไปถึงปี 2017 เมื่อประเทศในกลุ่มชาติอาเซียนนำโดย อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงไทย ตกเป็นข่าวว่าพร้อมจะจับมือกันเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2034 หลังเคยมีแนวคิดนี้มาตั้งแต่ปี 2011 แต่เพิ่งมีการพูดคุยกันอย่างจริงจังในปีดังกล่าว

 

แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า แนวคิดดังกล่าวแม้จะมีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง และไม่เคยมีการเสนอตัวอย่างเป็นทางการ เพราะหากติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดจะเห็นได้ว่า หลังจากมีการเสนอเรื่องขึ้นมาในชาติอาเซียนเมื่อปี 2017 จวบจนปัจจุบัน แนวคิดดังกล่าวไม่ได้มีความคืบหน้าขึ้นเลย และยังไม่ได้รับความร่วมมือจากชาติในอาเซียนเท่าที่ควรด้วย

 

หลังจากนั้นมีตัวละครเพิ่มมาเป็นชาติอย่างออสเตรเลีย และอาจรวมไปถึงเพื่อนบ้านอย่างนิวซีแลนด์ ตัวแทนจากโซนโอเชียเนีย ตกเป็นข่าวว่าต้องการจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในครั้งนี้ โดยพวกเขาแสดงความสนใจตั้งแต่ปี 2021 ก่อนมีการเสนอตัวอย่างจริงจังในเวลาต่อมา

 

แต่ก็อย่างที่ทราบกันเมื่อวานนี้ว่าสุดท้ายแล้วออสเตรเลียตัดสินใจถอนตัวไปในที่สุด โดยพวกเขาให้เหตุผลว่า ต้องการไปโฟกัสกับการจัดการแข่งขันรายการอื่นๆ ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ โดยเฉพาะโอลิมปิกเกมส์ 2032 ที่บริสเบน มลรัฐควีนส์แลนด์ 

 

แต่ก็มีรายงานว่า ปัญหาสำคัญที่ทำให้พวกเขาถอนตัวนั้นเป็นเรื่องของงบประมาณที่พวกเขาต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากไปกับการจัดการแข่งขันกีฬาทำสำคัญต่างๆ ไล่ตั้งแต่ฟุตบอลโลกหญิง 2023 และมีคิวจัดฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2026 ต่อด้วยฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกปี 2029 และโอลิมปิกเกมส์ 2032 ส่งผลให้ต้องเสียเม็ดเงินไปเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว

 

ขณะที่ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้เล่นคนสุดท้ายที่เข้ามาสู้ในเวทีการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 โดยก่อนหน้านั้นพวกเขาเป็นหนึ่งในชาติที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ในนาม ‘เจ้าภาพ 3 ทวีป’ ร่วมกับกรีซจากยุโรปและอียิปต์จากแอฟริกา แต่ท้ายที่สุดซาอุดีอาระเบียก็ตัดสินใจถอนตัวไปในช่วงต้นเดือนกันยายน ปี 2023 โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาเตรียมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพชาติเดียวในฟุตบอลโลก 2034

 

หลังจากนั้นราว 1 เดือน มหาอำนาจเศรษฐีบ่อน้ำมันชาตินี้ก็เสนอตัวเองเพื่อเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ในวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง และพวกเขาใช้เวลาไม่ถึงเดือนก็คว้าสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ไปครองได้สำเร็จอย่างงดงาม

 

เบื้องหลังของการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034

 

 

การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ของซาอุดีอาระเบีย เหมือนจะเป็นเพราะส้มหล่น หลังเหลือพวกเขาที่เป็นเพียงชาติเดียวที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน เพราะไร้คู่แข่งจากการถอนตัวของผู้เสนอตัวชาติอื่นๆ แต่ เฮนรี บุชเนลล์ จาก Senior Soccer Reporter ของ Yahoo Sports ตั้งข้อสังเกตได้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพของซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้

 

บุชเนลล์เขียนไว้ในบทความของเขาว่า หลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ประกาศแผนงานเกี่ยวกับเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ว่าจะต้องเป็นชาติในเอเชียหรือโอเชียเนียเท่านั้น หลังจากประกาศตัวเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 

 

ซึ่งการประกาศเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ซึ่งประกอบด้วยชาติต่างๆ ถึง 6 ชาติ จาก 3 ทวีป อันได้แก่ สเปน, โปรตุเกส, โมร็อกโก, อุรุกวัย, อาร์เจนตินา และปารากวัย ที่ครอบคลุมทวีปยุโรป อเมริกาใต้ และแอฟริกา ทำให้ฟุตบอลโลก 2034 จะถูกจัดได้เพียงแค่ 3 ทวีปเท่านั้น อันได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ (ไม่รวมแอนตาร์กติกา ซึ่งไม่มีส่วนร่วมอยู่แล้ว) ตามกฎที่ FIFA ตราไว้อย่าง ‘ฟุตบอลโลกจะไม่เกิดขึ้นซ้ำในทวีปเดิม’

 

และเมื่อพิจารณาจากการที่ฟุตบอลโลก 2026 ที่จะจัดขึ้นใน 3 ชาติจากทวีปอเมริกาเหนืออย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก ทำให้ FIFA ประกาศว่า ฟุตบอลโลก 2034 จะมีขึ้นที่เอเชียหรือโอเชียเนียเท่านั้น

 

ที่น่าสนใจคือ บุชเนลล์เปิดเผยว่า ซาอุดีอาระเบียได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 2034 เพียงแค่ 65 นาทีเท่านั้น!

 

นอกจากนั้นสมาชิกจำนวน 37 ประเทศจากทั้งหมด 47 ประเทศในสหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ AFC ก็ให้การสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในครั้งนี้ของซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างดี นั่นหมายความว่า 37 เสียง จาก 211 เสียง หรือราว 1 ใน 6 ของสภา FIFA ให้การสนับสนุนซาอุดีอาระเบียไปแล้ว

 

นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ AFC ตัดสินใจถอนตัวก่อนเส้นตายการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพด้วย

 

พลังของ FIFA ในการบันดาลเจ้าภาพฟุตบอลโลก

 

 

นอกจากเรื่องเสียงสนับสนุนที่ซาอุดีอาระเบียได้รับอย่างล้นหลามจากกลุ่มชาติเอเชียแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถูกมองว่าส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 คือแรงสนับสนุนและความต้องการของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA เองด้วย

 

การประกาศแผนงานในฟุตบอลโลก 2034 หลังจากได้เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ก็มีผลอย่างมาก โดยทาง เฮนรี บุชเนลล์ จาก Yahoo Sports ให้เหตุผลต่อไปว่า อันที่จริงแล้ว FIFA ไม่จำเป็นต้องดึงอาร์เจนตินา อุรุกวัย และปารากวัย มามีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2030 เลยก็ได้ เนื่องจากความพร้อมของสเปน โมร็อกโก และโปรตุเกส มีมากเพียงพออยู่แล้ว

 

แม้จะให้เหตุผลว่าฟุตบอลโลก 2030 เป็นวาระครบรอบ 100 ปีของฟุตบอลโลก และพวกเขาต้องการให้ฟุตบอลโลกได้ ‘กลับบ้าน’ เนื่องจากฟุตบอลโลกครั้งแรกเกิดขึ้นที่อุรุกวัยในปี 1930 แต่การให้ทั้ง 3 ชาติจากอเมริกาใต้ได้จัดฟุตบอลโลกชาติละเพียง 1 นัดเป็นสิ่งที่มีเหตุผลน้อยเกินไป และยังดูเป็นภาระแก่ชาติที่ต้องไปเล่น 1 เกมดังกล่าวในประเทศเหล่านั้นด้วย

 

แต่การตัดสินใจครั้งนี้สามารถอธิบายได้ทันที หากมองว่าพวกเขาต้องการกันกลุ่มชาติจากอเมริกาใต้ที่มีศักยภาพในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกออกไปจากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 เนื่องจากกฎที่ว่า ‘ฟุตบอลโลกจะไม่เกิดขึ้นซ้ำในทวีปเดิม’

 

และเมื่อประกอบกับการที่อเมริกาเหนือเพิ่งจัดฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งเป็นครั้งก่อนหน้านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นอย่างยิ่งที่จะให้ทวีปเอเชียหรือโอเชียเนียเป็นเจ้าภาพ

 

ซึ่งหากพิจารณาจากศักยภาพและความพร้อมต่างๆ ก็ตัดสินได้ไม่ยากว่าทวีปเอเชียมีความพร้อมมากกว่าโซนโอเชียเนียในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 และเมื่อประกอบกับเสียงที่เป็นเอกฉันท์จำนวน 37 จาก 47 เสียงของ AFC ดังที่บุชเนลล์ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 กลายเป็นซาอุดีอาระเบียไปโดยปริยาย

 

ขณะเดียวกัน พอล แมคอินน์ส คอลัมนิสต์จาก The Guardian สื่อชื่อดังของอังกฤษ ยังชี้ให้เห็นถึงการที่ดินแดนตะวันออกกลางเป็นเหมือน ‘แก้วตาดวงใจ’ ของ จานนี อินฟานติโน และ FIFA เพราะแม้ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์เมื่อปลายปีที่ผ่านมาจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายๆ ประเด็น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสร้างรายได้มหาศาลให้กับองค์กรปกครองฟุตบอลของโลก

 

นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่า อินฟานติโนให้ความสำคัญกับดินแดนตะวันออกกลางอยู่เสมอ อย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ก่อนประธาน FIFA ก็ไปปรากฏตัวที่กรุงริยาด เพื่อเปิดตัวการแข่งขันอีสปอร์ตด้วย

 

ขณะที่ทางฝั่ง The Athletic อีกหนึ่งสื่อกีฬาชื่อดังก็มองว่า การจัดฟุตบอลโลกในดินแดนที่มีการปกครองโดยผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับ FIFA เพราะง่ายต่อทั้งการเจรจา พูดคุย และกำหนดทิศทางให้ฟุตบอลโลกออกมาเป็นแบบที่พวกเขาต้องการ

 

โดย The Athletic ยังยกคำพูดของ เจอโรม วัลเก อดีตเลขาธิการ FIFA ที่เคยกล่าวว่า “ประชาธิปไตยที่น้อยกว่า ดีต่อฟุตบอลโลกมากกว่า” มาอธิบายเรื่องนี้ด้วย

 

ทำไมต้องเป็นซาอุดีอาระเบีย? และพวกเขาได้อะไรจากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟุตบอลโลก 2034 จะเกิดขึ้นที่ซาอุดีอาระเบียค่อนข้างแน่นอนแล้ว และปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าพวกเขาเป็นประเทศที่เอาจริงเอาจังอย่างมากกับวงการกีฬาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายมองว่าซาอุดีอาระเบียใช้กีฬาเพื่อฟอกขาวภาพลักษณ์ของประเทศก็ตาม

 

โครงการฟุตบอลโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของซาอุดีอาระเบียไม่แพ้โครงการกีฬาอื่นๆ อย่างเช่น การดึงสตาร์ดังเข้ามาสู่ซาอุดีโปรลีก และการลงทุนด้านกีฬาอื่นๆ อย่าง ลิฟกอล์ฟ หรือการจัดการแข่งขัน F1 ซึ่งนั่นเองเป็นจุดแข็งที่ FIFA จะมั่นใจได้ว่าฟุตบอลโลกที่เกิดขึ้นจะเป็นหนึ่งในฟุตบอลโลกที่ถูกเอาใจใส่มากที่สุด

 

นอกจากนี้ซาอุดีอาระเบียยังขึ้นชื่อเรื่องความมั่งคั่ง แม้ว่าตามข้อตกลงกับ FIFA ในการจัดฟุตบอลโลก พวกเขาจำเป็นต้องก่อสร้างสนามฟุตบอลใหม่อีกราว 4 สนาม และยังต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกไม่น้อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของประเทศที่มีความมั่นคงทางการเงินระดับนี้ แถมการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งผูกขาดอำนาจ ก็ยิ่งทำให้การบริหารจัดการเรื่องต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษด้วย

 

ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ฟุตบอลโลกที่สามารถทำกำไรให้กับ FIFA ได้มากขึ้น และรายได้ตรงนั้นก็จะสามารถกระจายอย่างเท่าเทียมให้แก่ชาติสมาชิก ซึ่งหมายความว่าสมาชิกของ FIFA ก็น่าจะมีความสุขมากขึ้นเช่นกัน และอาจส่งผลให้ตำแหน่งของ จานนี อินฟานติโน แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย

 

ในทางกลับกัน ซาอุดีอาระเบียก็จะได้เดินหน้าตามโรดแมป ‘การปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของประเทศบนเวทีโลก’ ต่อไป ซึ่งภายใต้โรดแมปนี้ มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ได้พุ่งเป้าไปที่โครงการกีฬาให้เป็นหัวใจสำคัญมาตลอด 

 

พวกเขาลงเงินจำนวนมากไปกับการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆ หลายรายการ หลากชนิดกีฬา เริ่มจากการแข่งขันกอล์ฟรายการใหม่จากลิฟกอล์ฟ, ศึกฟอร์มูลาวัน รายการซาอุดีอาระเบียนกรังด์ปรีซ์, การนำกีฬาต่อสู้ต่างๆ เข้ามาจัดในประเทศทั้ง UFC และมวยปล้ำ WWE รวมทั้งพยายามดึงมวยคู่สำคัญๆ มาชกกันที่นี่ด้วย

 

นอกจากนี้พวกเขายังลงทุนเมกะโปรเจกต์อย่าง The Line เมืองแนวตั้งแห่งแรกของโลกที่เหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์ไซไฟ ซึ่งทำให้พวกเขาถูกมองในภาพลักษณ์ที่ต่างออกไปจากเดิมทีละน้อย

 

ดังนั้นการได้จัดฟุตบอลโลกจึงเป็นวาระสำคัญที่โปรเจกต์ทั้งหมดที่พวกเขาทำมาจะมาเชื่อมโยงกัน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงภาพลักษณ์ครั้งสำคัญ และอาจถือเป็นงานเปิดตัวภาพลักษณ์ใหม่ของพวกเขาสู่สายตาชาวโลกไปพร้อมๆ กันในมหกรรมกีฬาหมายเลข 1 ของโลกอย่างฟุตบอลโลก

 

ความหมายของการได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในครั้งนี้จึงมากกว่าแค่การจัดการแข่งขันให้ออกมาดี แต่ยังมีภาพลักษณ์ของประเทศเป็นเดิมพันด้วย

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising