ตามตำนานเทพปกรณัมปรัมปราของกรีกและโรมัน มีเทพอยู่องค์หนึ่งที่จะเป็นผู้ครอบครองวงล้อแห่งโชคชะตา 4 ช่วงที่สามารถควบคุมดวงชะตาของทุกคนได้
เราเรียกขานเทพองค์นี้กันว่าเทพีไทคี (Tyche) ตามฉบับกรีกหรือเทพีฟอร์ชูนา (Fortuna) ตามฉบับโรมัน หรืออาจเรียกกันในชื่อเทพีแห่งโชคเฉยๆ ตามความเข้าใจของคนทั่วไป โดยที่วงล้อแห่งโชคชะตานั้นสามารถนำมาได้ทั้งโชคดีและโชคร้าย ขึ้นอยู่กับดวงชะตาของบุคคลผู้นั้นเอง
มนุษย์ผู้ไม่อาจควบคุมดวงชะตาของตัวเองได้จึงได้แต่หวังว่าหากพบกับเทพีแห่งโชคเข้า จะได้เห็นรอยยิ้มที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้น
ความเชื่อเกี่ยวกับเทพีแห่งโชคเป็นเรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่บ่อยครั้งที่เราได้เห็นเรื่องราวสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายที่ดูแล้วยากจะเชื่อถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความพ่ายแพ้ของทีมชาติบราซิลต่อทีมชาติโครเอเชีย ในศึกฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อคืนที่ผ่านมา (9 ธันวาคม)
จริงอยู่ที่ต้องปรบมือให้กับทัพนักเตะ ‘Kockasti’ (หมายถึงตารางหมากรุก) ที่สามารถต่อสู้กับบราซิล ทีมเต็งหนึ่งของการแข่งขันได้อย่างน่าประทับใจตั้งแต่นาทีแรกจนถึงนาทีที่ 120 ของการแข่งขัน สมศักดิ์ศรีรองแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีก่อน
แต่ความจริงเหล่ากานารินญาก็ควรที่จะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะไปได้แล้ว หลังจากที่เนย์มาร์ได้มีโมเมนต์ที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกของตัวเองกับบราซิล
ในเกมที่ยากและลำบากเหลือเกิน เพราะโครเอเชียทั้งเหนียวแน่น แข็งแกร่ง และยังเป็นฟุตบอลเชิงสูงที่ไล่ให้จนได้ยาก เนย์มาร์ได้แสดงให้เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเป็นเด็กในคำทำนายว่าจะพาบราซิลกลับมาเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกอีกครั้งในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
การเล่นที่เริ่มจากตัวของเขาเอง ก่อนจะประสานงานด้วยการเล่น ‘หนึ่ง-สอง’ ที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำได้ยากซ้อนกันถึง 2 ครั้งกับ โรดริโก ต่อด้วย เปโดร ก่อนที่จะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้วเลื้อยหนี โดมินิก ลิวาโควิช นายทวารโครเอเชีย ที่ตลอดทั้งเกมไม่ยอมให้ใครยิงผ่านเข้าไปได้มาก่อน และยิงมุมแคบเข้าไปอย่างเหนือชั้น
มันเป็นโมเมนต์ที่เนย์มาร์เฝ้ารอมาทั้งชีวิต และยิ่งพิเศษไปกว่านั้นเพราะมันคือประตูที่ 77 ในนามทีมชาติบราซิล เป็นสถิติเทียบเท่ากับ ‘O Rei’ เปเล ราชาลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายอยู่ในเวลานี้
ช่วงเวลาที่เนย์มาร์ได้ระเบิดพรสวรรค์ของเขาออกมาให้ทุกคนได้เห็นอย่างจะแจ้ง
ณ เข็มนาฬิกานั้นมันชวนให้คิดว่านี่อาจถึงเวลาที่คำทำนายของเนย์มาร์จะกลายเป็นความจริง
แต่แล้วโครเอเชียที่ไม่ยอมแพ้ก็กลับมาสู่เกมได้สำเร็จ ส่วนสำคัญมาจากความผิดพลาดของบราซิลที่ไม่ปิดเกมให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ได้โต้ตอบกลับมาได้ โดยที่เจ็บกว่านั้นคือคนที่เป็นฮีโร่ทำประตูของฝั่งโครแอตคือ บรูโน เพ็ตโควิช กองหน้าตัวสำรองที่ตลอดช่วงเวลาในสนามแทบทำอะไรไม่ได้แม้กระทั่งการเก็บบอลให้ทีมได้เล่นต่อ
จังหวะจบสกอร์ของเพ็ตโควิชกลับเฉียบขาดและมากกว่านั้นคือดูเหมือนเทพีแห่งโชคจะหันมายิ้มให้เขาและชาวโครเอเชียมากกว่าจะหันมาหาเนย์มาร์และบราซิล ลูกยิงนั้นจึงแฉลบขาของมาร์ควินญอสก่อนที่จะเปลี่ยนทางเข้าประตูไปก่อนหมดเวลาแค่ 3 นาที
นั่นเป็นโอกาสในการยิงเข้ากรอบครั้งแรกของโครเอเชียในเกมนี้ด้วย แต่กลายเป็นทำให้เกมต้องตัดสินกันถึงฎีกาก่อนจะจบที่การเป็นฮีโร่อีกครั้งของลิวาโนวิช ซึ่งไม่ว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมตราหมากรุกจะจบเส้นทางที่ตรงไหนเขาจะได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ รวมถึงคงจะไม่ได้เป็นนักเตะในทีมคนสุดท้ายที่ยังเล่นอยู่ในประเทศกับ ดินาโม ซาเกร็บ อีกแล้ว เพราะคงจะมีสักทีมใหญ่ในยุโรปที่คว้าตัวไปร่วมทีมด้วยอย่างแน่นอน
หลังมาร์ควินญอส ผู้หัวใจถูกฉีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อเป็นคนยิงจุดโทษลูกที่ 4 และยิงไปชนเสาเป็นการยืนยันความพ่ายแพ้ของทีม เนย์มาร์ผู้ที่ถูกมอบบทบาทคนยิงลำดับที่ 5 ที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเดินมาทำหน้าที่ก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อายใครอีกแล้ว
ตลอดทั้งชีวิต เนย์มาร์แบกรับความคาดหวังจากชาวบราซิลทั้งประเทศมาโดยตลอด โด่งดังตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นไม่ได้เซ็นสัญญาอาชีพ ถูกขีดเส้นทางอนาคตทั้งหมดเอาไว้ว่าจะก้าวขึ้นมาเล่นฟุตบอลอาชีพกับซานโตสได้เมื่อไร และจะย้ายไปยุโรปตอนไหนเพื่อให้พร้อมเต็มที่
เรียกได้ว่าชีวิตของเนย์มาร์เป็นเหมือนโปรเจกต์ใหญ่ของวงการฟุตบอลบราซิล ซึ่งเดิมเป้าหมายอยู่ที่การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ในบ้านเกิดของตัวเองที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ แต่สุดท้ายโชคร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโดน ฮวน ซูนิกา แทงเข่าเข้ากลางหลังจนหมดสิทธิ์ลงช่วยทีมในเกมรอบรองชนะเลิศกับเยอรมนี ซึ่งเป็นเกมหายนะของชาติ
4 ปีถัดมา เนย์มาร์เหมือนเด็กหลงทางที่ตัดสินใจย้ายออกจากบาร์เซโลนา เพราะหวังจะก้าวพ้นเงาของ ลิโอเนล เมสซี แต่การเล่นในลีกระดับรองไม่สามารถเติมเต็มความสุขในการเล่นได้ ทำให้การเล่นของเขาในช่วงนั้นดูสับสนวุ่นวาย และกลายเป็น ‘นักแสดง’ ในสนามฟุตบอลไปแทนที่จะได้ใช้พรสวรรค์ในการเล่นอย่างเต็มที่
มาถึงครั้งนี้เขาพูดเป็นนัยก่อนเริ่มรายการว่า “นี่อาจเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้าย” โดยให้เหตุผลว่า “ไม่รู้จะเหลือกำลังใจแค่ไหนที่จะกลับมาอีกครั้ง”
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาดูตั้งใจและใส่ทุกอย่างลงไปกับฟุตบอลโลกครั้งนี้ ขนาดที่มีอาการบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้าก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ยอมรักษาตัวจนหายกลับมาช่วยทีมได้เมื่อเข้ารอบน็อกเอาต์
เพราะไม่รู้จะมีฟุตบอลโลกครั้งหน้าอีกไหม
การพ่ายแพ้ต่อโครเอเชียตกรอบทั้งๆ ที่ในที่สุดเนย์มาร์ก็มีทีมที่ดีพอที่จะแบ่งเบาภาระของเขาได้ และมีโมเมนต์ที่ควรจะเป็นที่น่าจดจำ จึงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายในความรู้สึก
อย่างไรก็ดี เนย์มาร์ยังไม่ได้บอกว่าเขาจะอำลาทีมชาติจริงๆ แค่ขอใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อทบทวนเรื่องราวและเยียวยาหัวใจ
เมสซีกับเทพีแห่งโชคส่วนตัว เอมิเลียโน มาร์ติเนซ
ในค่ำคืนเดียวกัน ลิโอเนล เมสซี ก็เจอกับเทพีแห่งโชคเหมือนกัน และดูเหมือนการหมุนวงล้อแห่งโชคชะตานั้นจะจบลงด้วยผลลัพธ์ที่แตกต่าง
อาร์เจนตินาและตัวของเขาเองใกล้เคียงอย่างมากที่จะถูกดับความหวังในการลุ้นคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าทางและเป็นใจให้แก่เนเธอร์แลนด์ซึ่งพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างต้องยอมใจ
ความจริงเบียงคิเชเลสเตน่าจะเข้ารอบได้อย่างสบายๆ แล้ว จากการร่ายมนตร์ของเมสซี จ่ายบอลทะลุช่องเหมือนใช้เมาส์ลากให้ นาฮูเอล โมลินา แบ็กขวาจากแอตเลติโก มาดริด ที่สอดขึ้นมาได้อย่างพอเหมาะ ก่อนจะส่งบอลเข้าประตูไปตั้งแต่ครึ่งแรก ต่อด้วยความเยือกเย็นในการสังหารจุดโทษที่เป็นประตู 2-0
เวลาก็เหลือไม่เท่าไร แต่การตัดสินใจถอด โรดริโก เด ปอล (ซึ่งเปิดเผยต่อมาว่าบาดเจ็บ) และ คริสเตียน โรเมโร ซึ่งถูกคาดโทษจากใบเหลืองออกกลายเป็นจุดพลิกผันเพราะ หลุยส์ ฟาน กัล ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่าง ลุค เดอ ยอง และ วูท เวกฮอร์สต์ ลงสนามมาเพื่อปูพรมถล่มแหลก
เวกฮอร์สต์ กลายเป็นฮีโร่ของชาวดัตช์เมื่อโหม่งตีไข่แตกให้ทีมได้ ก่อนจะมาทำประตูตีเสมอได้ในช่วงของการทดเวลานาทีที่ 10 ซึ่งเป็นนาทีสุดท้ายก่อนเสียงนกหวีดจะดังขึ้น โดยมาจากลูกสูตรฟรีคิกซึ่งอาร์เจนตินาก็ทำตัวเองพลาดเสียฟรีคิกแบบไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย
มันจึงชวนให้คิดว่าฟ้าขาวจะหาทางกลับมาไม่ได้เสียแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษเนเธอร์แลนด์ที่โหมบุกจนทำให้อาร์เจนตินาหลังพิงเชือกก็เปลี่ยนใจกลับมาเล่นฟุตบอลในแบบฟาน กัลเหมือนเดิม ไม่ยอมปูพรมถล่มแบบเก่า โยนโอกาสและความหวังในการจะเป็นผู้ชนะทิ้งไป
อาร์เจนตินาและเมสซีจึงกลับมาประคองเกมได้สำเร็จ และในช่วงของการดวลจุดโทษนั้นเมสซีพกเทพีแห่งโชคส่วนตัวมาด้วย เมื่อ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ยังคงเป็นผู้ปกปักษ์รักษาราชาลูกหนังหมายเลข 10 เหมือนเดิม ช่วยเซฟจนทำให้ทีมกลับมาคว้าชัยชนะได้ในที่สุด
ประเด็นเดือดหลังจบเกมที่มีวิวาทะระหว่างเมสซีกับฟาน กัล, เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ผู้เป็นผู้ช่วย และนักเตะเนเธอร์แลนด์คนอื่นๆ ไปจนถึงผู้ตัดสินนั้นก็พูดกันไปได้
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคืนนี้ นอกจากฝีมือแล้ว ดูเหมือนโชคชะตาจะต้องการพาให้เขาไปต่อ
จะไปได้ไกลถึงไหนกันนั้น ขึ้นอยู่กับเทพีฟอร์ชูนาผู้ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา มองเห็นเพียงแค่รอยยิ้มที่มุมปากในรัตติกาลรางเลือน