วันนี้ (1 เมษายน) ธนาคารโลก (World Bank) เปิดตัวรายงาน East Asia and Pacific April 2024 Economic Update ฉบับเดือนเมษายน ปี 2024 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโตเพียง 2.8% เท่านั้น (ไม่รวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) นับว่าเป็นการปรับลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับประมาณการในรายงานฉบับก่อนหน้าเมื่อเดือนตุลาคมที่ 3.5% (และยังน้อยกว่ารายงานตามติดเศรษฐกิจไทยเดือนธันวาคม 2023 ที่ 3.2%) เนื่องมาจากการส่งออกที่คาดว่าจะอ่อนแรงลง และการลงทุนภาครัฐน่าจะชะลอตัวเนื่องจากกระบวนการงบประมาณที่ล่าช้า
กระนั้นภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคของภาคเอกชนคาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก ขณะที่การส่งออกสินค้าก็คาดว่าจะยังเป็นบวกแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว
สำหรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2025 ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ราว 3.0%
สำหรับความเสี่ยงที่น่าจะส่งผลกระทบต่อคาดการณ์นี้มีทั้งด้านบวกและลบ ได้แก่ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่อาจกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ, ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์, ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกระลอกได้
โดยรายงานยังระบุอีกว่า “การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงช้ากว่าประเทศในกลุ่มเดียวกันในอาเซียน เหตุเศรษฐกิจในปี 2023 ขยายตัวเพียง 1.9% เนื่องจากความต้องการจากต่างประเทศที่อ่อนแอ (Weak External Demand) กระทบภาคการผลิต ท่ามกลางกระบวนการงบประมาณที่ล่าช้า”
ส่วนในระยะกลาง World Bank เตือนว่าไทยจะต้องเจอกับความท้าทายในการจัดการกับปัญหาความต้องการการใช้จ่าย (Spending Needs) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย, การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความต้องการสร้างกันชนทางนโยบาย (Policy Buffers) เพื่อรองรับกับเหตุไม่คาดฝันในอนาคต
สำหรับประมาณการของเศรษฐกิจภาพรวมในเอเชียและแปซิฟิก World Bank คงคาดการณ์ไว้ที่ 4.5% ในปีนี้ และ 4.3% ในปีหน้า กระนั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ในปีนับว่าลดลงจาก 5.1% ในปีที่แล้ว
โดยแนวโน้มดังกล่าวขึ้นอยู่กับความเสี่ยงขาลง (Downside Risks) เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มากกว่าที่คาดการณ์ไว้, การที่เขตเศรษฐกิจหลักยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ในระดับสูง, ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ส่วนใหญ่ World Bank ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ โดยมาเลเซียคาดว่าจะโต 4.4% จาก 4.3% ฟิลิปปินส์คาดว่าจะโต 5.9% จาก 5.8% และเวียดนามคาดว่าจะโต 6% จาก 5.5% ในรายงานเดือนตุลาคม ขณะที่อินโดนีเซีย World Bank คงประมาณการไว้ โดยคาดว่าจะโต 4.9%