ในโลกยุคปัจจุบัน การทำงานหนักและการมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จกลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยกย่องและสนับสนุนเป็นอย่างมาก ผู้คนมากมายต่างพากันทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อไขว่คว้าความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน บ้างก็หวังจะสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง บ้างก็หวังรายได้ที่สูงขึ้นเพื่อความมั่นคงในชีวิต
ทว่าในการวิ่งตามความฝันและเป้าหมายเหล่านั้น หลายคนมักลืมคิดไปว่าชีวิตของเรานั้นมีมากกว่าแค่เรื่องงาน และการทุ่มเททุกอย่างให้กับการทำงานมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ความสัมพันธ์ และความสุขในชีวิตโดยรวม
งานวิจัยของ Harvard Business School ชี้ให้เห็นว่า 94% ของผู้ทำงานกว่า 1,000 คนในสหรัฐอเมริการู้สึกว่าต้องทำงานอย่างหนักเกินไป และมีแรงกดดันสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
การทำงานภายใต้ความกดดันและความเครียดอย่างต่อเนื่องนั้นไม่เพียงส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังบั่นทอนคุณภาพชีวิตโดยรวม ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ สุขภาพแย่ลง และความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดห่างเหินหรือเสื่อมถอย
การทำงานหนักเป็นสิ่งที่ดี แต่การทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ตัวเองและคนรอบข้างนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ งานวิจัยของ American Sociological Review พบว่า การทำงานเกิน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่กลับทำให้ประสิทธิภาพลดลง และมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้นถึง 33%
นอกจากนี้ การทุ่มเทเวลาให้กับงานมากเกินไปยังส่งผลต่อความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง งานวิจัยของ University of Toronto พบว่า 68% ของคู่สมรสที่คู่ของตนทำงานเกิน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์รู้สึกไม่พอใจในชีวิตสมรส ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาครอบครัวและการหย่าร้างในที่สุด เวลาที่ควรจะได้ใช้ร่วมกันกับคนที่รักกลับถูกแย่งชิงไปด้วยงาน จนเกิดเป็นความห่างเหิน ไม่เข้าใจกัน และนำไปสู่ความแตกแยกได้ในที่สุด
ดังนั้นเราควรหาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว โดยจัดสรรเวลาให้เหมาะสม ทั้งเวลาสำหรับงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง และตัวเอง งานสำคัญ แต่สิ่งอื่นๆ ในชีวิตก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน อย่าปล่อยให้งานกลืนกินชีวิตของเราจนหมดสิ้น จงใช้ชีวิตอย่างสมดุลและมีความสุข เพื่อสุขภาพที่ดีและความสัมพันธ์ที่ยืนยาวกับคนที่เรารัก
อ้างอิง:
