หากย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2018 ใครที่ติดตามวงการฮอลลีวูดมาตลอดคงจำได้ดีว่าประเด็นที่รุนแรงที่สุดในช่วงเทศกาลแจกรางวัลก็คือเหตุการณ์ #MeToo ซึ่งตั้งแต่ปลายปี 2017 ได้มีการเปิดโปงพฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศของหลายคนที่มีอิทธิพลในวงการ ตั้งแต่ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน จนถึงเควิน สเปซีย์ โดยอีกคนหนึ่งที่ได้กลับมาอยู่ในกระแสข่าวก็คือผู้กำกับ วูดดี้ อัลเลน ที่มีประเด็นนี้ติดตัวมายาวนาน แต่บรรดานักแสดงระดับแถวหน้าก็ยังคงทำงานกับเขาอยู่เสมอ
แต่เมื่อกระแส #MeToo ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ทางพระเอกหนุ่ม ทิโมธี ชาลาเมต์ ที่ตอนนั้นกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ก็ตัดสินใจประกาศว่าจะมอบค่าตัวทั้งหมดจากภาพยนตร์ A Rainy Day in New York ที่วูดดี้กำกับให้ 3 องค์กรคือ Time’s Up, The LGBT Center ในนิวยอร์ก และ RAINN (Rape, Abuse, and Incest National Network) ซึ่งทิโมธีได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม และอีก 8 วันต่อมาเขาก็ได้มีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ Call Me By Your Name
แต่ล่าสุดในหนังสือชีวประวัติของวูดดี้ที่ชื่อ Apropos of Nothing ผู้กำกับ วัย 84 ปี ได้กล่าวหาว่าทิโมธีสาบานกับ เลตตี้ อารอนสัน น้องสาวของเขาซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ในภาพยนตร์ของวูดดี้แทบทุกเรื่อง รวมถึง A Rainy Day in New York ว่าเหตุผลเดียวที่พระเอกหนุ่มตัดสินใจออกมาประกาศมอบค่าตัวให้มูลนิธิต่างๆ ก็เพราะเขาและผู้จัดการส่วนตัวคิดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้ทิโมธีชนะรางวัลออสการ์มากขึ้น
อย่างไรก็ตามแต่ ในหนังสือวูดดี้ก็ได้ชื่นชมการแสดงของทิโมธีและอีกสองนักแสดงนำ เซเลนา โกเมซ และแอล แฟนนิง แม้ภาพยนตร์เรื่อง A Rainy Day in New York จะไม่เคยได้เข้าฉายในอเมริกาในภายหลัง และต่อมาวูดดี้ได้ฟ้อง Amazon Studios ถึง 68 ล้านดอลลาร์ เพราะทางค่ายได้ยกเลิกสัญญาที่จะว่าจ้างวูดดี้มากำกับภาพยนตร์ให้ 4 เรื่อง อีกทั้งวูดดี้ยังบอกในหนังสืออีกว่าตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา เขาก็ประสบปัญหาในการหานักแสดงระดับแถวหน้ามาร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องถัดมาของเขาอย่าง Rifkin’s Festival ซึ่งภายหลังเขาก็ได้นักแสดง จีน่า เกอร์ชอน, วอลเลซ ชอว์น และคริสตอฟ วอลต์ซ มาร่วมแสดงในที่สุด
ภาพ: James Devaney / GC Images
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: