องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เผยรายงาน State of the Climate ประจำปี ฉบับที่ 25 เตือนว่า ปัญหาโลกร้อนกำลังสร้างผลกระทบในทางธรรมชาติและเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยระดับก๊าซเรือนกระจกที่สูงเป็นประวัติการณ์ทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงในระดับที่เป็นอันตราย
รายงานระบุว่า ในปี 2018 ปัญหาสภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลกระทบต่อประชากร 62 ล้านคนทั่วโลก และบีบให้ประชากร 2 ล้านคนต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน นอกจากนี้ยังมีผู้ประสบภัยราว 35 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
ขณะที่ระดับน้ำทะเลก็เพิ่มสูงขึ้นทำสถิติใหม่ รวมถึงอุณหภูมิบนที่สูงและในมหาสมุทรก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
WMO ซึ่งเป็นองค์การชำนัญพิเศษด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า มลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เช่น ถ่านหิน น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าหรือคมนาคมขนส่งเป็นปัจจัยที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งทำให้เกิดพายุ อุทกภัย และภัยแล้งที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น
ขณะที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เผยรายงานก่อนหน้านี้ว่า ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นถึง 1.7% ในปี 2018 ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับ WMO ที่ระบุในรายงานว่า ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในปัจจุบันพุ่งขึ้นแตะ 405.5 ในล้านส่วน (ppm) จากระดับ 357 ppm ในรายงานปี 1993 ซึ่งเป็นปีที่ WMO ออกรายงานฉบับแรก
สำหรับปัญหาโลกร้อนนั้น รายงานระบุว่าปี 2018 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 4 ตามที่มีการบันทึกสถิติ สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยช่วงปี 1850-1900 ถึงเกือบ 1 องศาเซลเซียส โดยทั้ง 4 อันดับเกิดขึ้นในช่วงปี 2015-2018 ซึ่งหมายความว่าโลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ผลจากปัญหาโลกร้อน ทำให้เกิดภัยธรรมชาติถี่ขึ้นและเลวร้ายขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาพายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์และไมเคิลพัดถล่มสหรัฐฯ อย่างหนักหน่วง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ามหาศาล ขณะที่ไต้ฝุ่นมังคุดทำให้มีผู้เสียชีวิต 134 คน และส่งผลกระทบต่อประชากร 2.4 ล้านคนในฟิลิปปินส์
ส่วนในยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตคลื่นความร้อนหรือฮีตเวฟ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,600 คน
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: