×

สรุปวิสัยทัศน์ ‘วิโรจน์’ แคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. ก้าวไกล ที่พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพฯ ‘เตรียมเก็บกวาด สะบัดพรม’

24.01.2022
  • LOADING...
Wiroj Lakkhanaadisorn

วันนี้ (23 มกราคม) ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล มีการจัดกิจกรรมเปิดตัวแคนดิเดตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ภายใต้สโลแกน ‘พร้อมชน เพื่อคนกรุงเทพ’ โดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ขึ้นกล่าวบนเวที ก่อนเปิดตัว ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ เป็นแคนดิเดตของพรรคในวันนี้

 

วิโรจน์กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ตอนหนึ่งว่า วันนี้หมดเวลาซุกปัญหาไว้ใต้พรม ถึงเวลาเลือกผู้ว่าฯ ที่พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพฯ ซึ่งถามว่า ทำไมต้องชน ไม่ประสาน ไม่ร่วมมือ ตนอยากถามว่า กับส่วยกรุงเทพฯ จะร่วมมืออย่างไร จะประสานอย่างไร ต้องชนและกำจัดอย่างเดียว ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าส่วยกรุงเทพฯ นั้นมีอยู่จริง มันคือปรสิตที่คอยเซาะกร่อนอนาคตคนกรุงเทพฯ ถ้าจัดการได้ กรุงเทพฯ ในหลายมิติจะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ ส่วยนี้กัดกินตั้งแต่ประชาชนตาดำๆ พ่อค้าแม่ขายรายเล็กๆ ผู้ประกอบการ เป็นค่าน้ำมันหล่อลื่น เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา เหล่านี้รวมๆ ทั้งปีขั้นต่ำสุด 5 พันล้านบาท สูงสุด 1.5 พันล้านบาท ทั้งๆ ที่งบฯ กทม. 1 แสนล้าน แสดงว่าส่วยนี้มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ การใช้ชีวิตค่าครองชีพแพงอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่คนกรุงเทพฯ ต้องจ่ายค่าครองชีพให้กับผู้ใดอีก ตนตั้งคำถามอย่างนี้ว่า นี่คือเรื่องที่เราต้องชนใช่ไหม ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าตนจะทำงานกับข้าราชการไม่ได้ เพราะข้าราชการที่ดีมี 90 เปอร์เซ็นต์ เขาพร้อมทำงานกับผู้ว่าฯ ที่ตรงไปตรงมา ที่ให้ข้าราชการที่ดีมีโอกาสเติบโต เรามักพูดกันว่าโตไปไม่โกง ถึงเวลาที่ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ต้องพิสูจน์กับข้าราชการว่า ถ้าใครโกงมันไม่โต ผู้ว่าฯ ต้องประกาศให้ชัดว่า ต้องไม่มีการรีดไถในกรุงเทพฯ อีกต่อไป ถ้าผู้ว่าฯ ชื่อวิโรจน์ กรุงเทพฯ ต้องหยุดไถทันที และถ้าใครมีหลักฐานส่งมา ตนจะลากคอมาลงโทษให้ดู

 

“ชนเรื่องที่ 2 คือระบบราชการส่วนกลาง ซึ่งเรามีหน่วยงานเยอะแยะเต็มไปหมด ที่ผ่านมาในวิกฤตโควิด กรุงเทพฯ ไม่ได้ขาดแคลนหมอ ไม่ได้ขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ทันสมัย แต่ขาดระบบสาธารณสุขที่ดีที่ไม่สอดประสานกัน การประสานหาเตียงของโรงพยาบาลที่ไม่บูรณาการกัน ทุกคนคงจำโครงการจองคิวฉีดวัคซีนของกรุงเทพมหานครได้ นั่นคือ ไทยร่วมใจ ที่ให้คนกรุงเทพฯ จองคิวฉีดและประสานร่วมกับร้านสะดวกซื้ออย่างดี แต่สุดท้ายวัคซีนไม่มา ทำให้การฉีดวัคซีนคนกรุงเทพฯ เลื่อนไปเรื่อยๆ คนกรุงเทพฯ เสียโอกาสปกป้องชีวิตตัวเอง เสียโอกาสปกป้องชีวิตคนที่เรารัก แล้วผู้ว่าฯ ก็ยอมรับชะตากรรม ไม่ออกมาปกป้อง ลอยแพคนกรุงเทพฯ ให้ผจญกับโรคระบาดตามยถากรรม ซึ่งด้วยข้อจำกัดจากส่วนกลางที่ล่าช้า ทำให้เราเห็นคนกรุงเทพฯ มานอนข้างกำแพงวัดเพื่อรอตรวจ และก็มีเสียชีวิตอย่างที่ไม่ควรจะเสียชีวิต ผู้ว่าฯ ยอมรับสภาพจากส่วนกลางที่เละ ยอมจำนน ยอมปล่อยให้เผชิญอย่างนั้นเหรอ ถ้าผู้ว่าฯ ชื่อวิโรจน์ คนนี้พร้อมชนกับ รมว.สาธารณสุข เรียกว่าพร้อมชนไม่ถูก เพราะชนมาแล้ว ไม่ได้กลัวเพราะไม่ใช่ชนส่วนตัว แต่ชนเพื่อรักษาชีวิตประชาชน นี่คือเรื่องพื้นฐานที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อเมือง” วิโรจน์กล่าว 

 

วิโรจน์กล่าวอีกว่า ไม่ใช่แค่เรื่องโควิด แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เจอทุกวันอย่างทางเท้า หลายคนพูดว่าเกี่ยวกับเรื่องการออกแบบ การก่อสร้างให้คงทนถาวร แต่ปัญหาแท้ที่จริง คนกรุงเทพฯ ทุกคนกำลังเจอปัญหากับนักขุดซึ่งมาจากหลายหน่วยงาน ถ้าแก้ปัญหานักขุดไม่ได้ ต่อให้สร้างดีอย่างไรก็ถูกขุดเละเหมือนเดิม ทั้งท่อประปา เสาไฟลงดิน ซ่อมบำรุงต่างๆ ซึ่งเรารู้ว่านัดให้มาขุดพร้อมกันทำยาก และการขุดเพื่อสาธารณูปโภคทำได้ แต่ขุดแล้วต้องส่งคืนในสภาพที่ดี ถ้าไม่ดีต้องแก้ ถ้าแก้ไม่ได้ผู้ว่าฯ ต้องกล้าปรับไม่ใช่รับสถาพ ถ้ารับสภาพก็หมายถึงว่าให้ยอมรับว่าเป็นวิถีประจำวัน ยอมรับว่าเป็นปกติ ซึ่งไม่ใช่ผู้ว่าฯ ที่ชื่อวิโรจน์ หรือเรื่องน้ำท่วมชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งท่วมที่เดิมทุกปี กรุงเทพมหานครก็เอากระสอบทรายมาเรียงให้ทุกปี โดยไม่เอะใจว่าทำไมไม่สร้างพนังกั้นน้ำ คำตอบคือ บอกว่าอำนาจไม่อยู่ที่ผู้ว่าฯ ถามว่าแล้วผู้ว่าฯ ไม่คิดจะคุย ไม่คิดทลายข้อจำกัดเลยเหรอ ต้องทะลุข้อจำกัดเพื่อแก้ปัญหาประชาชนให้ได้ พอกันทีกับกระสอบทรายรายปี ยังมีเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคนเดินถนนปีหนึ่งกว่า 800 คดี ที่น่าหดหู่ใจคือมีคนโดนรถชนเสียชีวิตบนทางม้าลายคนข้าม สิ่งที่ผู้ว่าฯ ทำได้ทันทีคือปรับปรุงทำทางคนข้าม 4,000 แห่งทั่วประเทศ เส้นเตือนต้องชัด สัญญาณไฟคนข้ามต้องมี เป็นต้น และสิ่งที่ผู้ว่าฯ ต้องทำให้ได้แม้ไม่มีอำนาจคือการคุยกับกองบังคับการตำรวจจราจร ให้บังคับใช้ พ.ร.บ.การจราจรทางบก ทางม้าล้ายต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนเดินถนน คนขับรถต้องชะลอรถ ผู้ว่าฯ จะบอกว่าไม่อยู่ในอำนาจแล้วไม่ทำไม่ได้ คุณปล่อยให้มีคนตายบนทางม้าลายไม่ได้ 

 

“ตรงนี้ คำว่าชนของเราหมายความว่าเราต้องไปประสาน แต่ประสานแล้วไม่มีความคืบหน้า ปล่อยให้ชีวิตคนกรุงเทพฯ ยังเป็นแบบเดิมไม่ได้ ต้องตาม ต้องจี้ ทำแล้วไม่ดีให้กลับมาทำใหม่ เพราะทุกครั้งที่ผู้ว่าฯ ยอมจำนนคือการลอยแพ คือการให้มองปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ และใครไม่พอใจก็ควักกระเป๋าใช้เงินแก้ปัญหาให้กรุงเทพฯ เอง ผู้ว่าฯ ที่ชื่อวิโรจน์ไม่ใช่แบบนั้น เพราะเรื่องนี้ ต่อให้นโยบายของผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครดีเลิศแค่ไหน แต่ทว่าเกรงใจทุกหน่วยงาน แต่ไม่เกรงใจคนกรุงเทพฯ ขับเคลื่อนไม่ได้ ปัญหาคนกรุงเทพฯ จะไม่ถูกแก้ แต่จะแก้แบบปะ ผุ แบบนี้ไปเรื่อยๆ” วิโรจน์กล่าว 

 

วิโรจน์กล่าวอีกว่า ชนเรื่องที่ 3 คือชนกับนายทุน ผู้ว่าฯ ต้องพร้อมเป็นกันชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ ไม่ให้ถูกเอาเปรียบโดยนายทุน เช่น เรื่องรถไฟฟ้าราคาแพง ซึ่งเราแพงกว่าสิงคโปร์ ฮ่องกง และอีกหลายๆ เมือง แต่เราก็ต้องจ่ายเพราะอยากได้การเดินทางที่ดี และทุกคนรู้ว่าสัญญาสัมปทานนี้พัวพันกว่า 10 ฉบับ และรู้ว่าวันนี้กรุงเทพมหานครมีรถไฟฟ้าสายเขียว และค้างค่าจ้างเดินรถ คำถามเกิดขึ้นในใจทันทีคือ ถ้าเป็นหนี้ถึง 3.7 หมื่นล้าน แล้วคนกรุงเทพฯ ได้ขึ้นรถเท่าเทียมกันก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ยังมีคนที่ไม่ได้ขึ้นเพราะจ่ายไม่ไหว แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่กรุงเทพฯ จะได้รับการจัดลำดับว่ามีระบบรางยาวเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ขณะที่ลูกตาสีตาสา มนุษย์เงินเดือนนั้นขึ้นไม่ได้ ตนเชื่อว่าวันนี้ คนกรุงเทพฯ ไม่ได้ต้องการผู้ว่าฯ ที่สร้างรถไฟฟ้า แต่คนกรุงเทพฯ ต้องการผู้ว่าฯ ที่ทำให้คนกรุงเทพฯ ขึ้นรถไฟฟ้าได้ต่างหาก ถ้าผู้ว่าฯ ชื่อวิโรจน์ แม้มีอำนาจจำกัด สายสีเขียวต่อขยายสัญญาลึกลับดำมืดนี้จะต้องเปิดเผยทันที และต้องเปิดเพราะสัญญาฉบับนี้เกี่ยวข้องกับคำสั่ง คสช. 3/2562 ต้องเปิดดูว่าตกลงอะไรกันไว้ ถ้าไม่เปิด ปัญหาเหล่านี้แก้ไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ผู้ว่าฯ ต้องกล้าทำ จากนั้นผู้ว่าฯ ต้องพร้อมเป็นหัวหอก ให้เกิดตั๋วร่วมในกรุงเทพฯ จะสำเร็จหรือไม่ เจอตออะไรหรือไม่ หรือติดอะไรไม่รู้ แต่ต้องไม่ติดที่ผู้ว่าใส่เกียร์ว่างเพราะนายทุนเอาเงินมาปิดปาก 

 

“ในส่วนเรื่องที่พักอาศัย คนกรุงเทพฯ ทุกวันนี้หลายคนเงินเดือนวิ่งตามที่พักอาศัยไม่ทัน จึงทำให้ต้องหนีออกไปไกลเรื่อยๆ และสุดท้าย นายทุนก็กว้านซื้อที่ใจกลางเมืองทำห้างสรรพสินค้า ทำคอนโดมิเนียมหรูขายให้ชาวต่างชาติ ถ้าผู้ว่าฯ ชื่อวิโรจน์ จะต้องสร้างที่อยู่อาศัยที่คนกรุงเทพฯ จ่ายไหว ซึ่งเรื่องนี้ แม้จะยากและหลายเรื่องเกินอำนาจ แต่ผู้ว่าฯ จะอยู่เฉยๆ แล้วให้คนกรุงเทพฯ ถูกไล่ออกจากกรุงเทพฯ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องส่งเรื่องนี้่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ให้ผู้ว่าฯ มีอำนาจ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครทำงานคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องมี ส.ส. อย่าง ส.ส. พรรคก้าวไกลในสภา และเราจะทำงานสอดประสานกัน เพราะเราทำงานเป็นทีม และนี่คือ 3 เรื่องที่ต้องชน” วิโรจน์กล่าว 

 

วิโรจน์กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีสิ่งดีๆ อยู่เต็มไปหมด เพียงแต่คุณต้องมีเงินจ่าย เพราะถ้าไม่จ่ายก็เจอบริการสาธารณะห่วยๆ บริการพื้นฐานแบบตามมีตามเกิด จนกลายเป็นชีวิตประจำวัน แต่เมื่อทนไม่ได้ก็ต้องควักเงินจ่ายเพื่อแก้ปัญหาด้วยตัวเองจนเคยชิน จนคิดว่าเป็นเงื่อนไขของกรุงเทพมหานครไปแล้ว คำว่า ‘กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว’ หรือที่จริงแล้วเป็น ‘กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่หมดตัว’ กันแน่ ไม่จ่ายต้องเจ็บและชินไปเอง ยกตัวอย่าง กรุงเทพมหานครมีโรงพยาบาล มีแพทย์เฉพาะทาง 24 ชั่วโมง ถ้าคุณมีเงินจ่าย แต่ถ้าคุณไม่จ่ายก็ต้องทนกับศูนย์บริการสาธารณสุขแบบที่เป็นอยู่ หรือเบียดเสียดกับโรงพยาบาลรัฐ เรารู้หรือไม่ว่าประเทศไทยมีร้านขายยาแผนปัจจุบัน 17,000 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯ 5,000 แห่ง หรือ 30 เปอร์เซ็นต์ นี่สะท้อนว่าคนกรุงเทพฯ พึ่งพิงศูนย์บริการสาธารณสุขไม่ได้ โรงพยาบาลรัฐก็รอนาน สุดท้ายเวลาเจ็บป่วยต้องซื้อยากินเอง ซึ่งก็คือต้องควักเงินจ่าย ด้านการศึกษา กรุงเทพมหานครไม่เคยขาดแคลนโรงเรียนดีๆ ทั้งประเทศเรามีโรงเรียนนานาชาติ 200 กว่าแห่ง อยู่ในกรุงเทพฯ 180 แห่ง ถ้าคุณมีเงินจ่าย โรงเรียนดีๆ มีให้บริการแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่มีเงิน อย่างไรก็ต้องกัดฟันจ่ายให้ลูกเรียนโรงเรียนอยู่ดี เรียนในโรงเรียนที่คุณภาพการศึกษาที่แค่ให้ได้มาตรฐานเท่านั้นเอง แต่ถ้าเลี่ยงไม่จ่ายก็จะเจอสภาพโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่แค่ทักษะการอ่าน ผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และไม่ใช่จ่ายแค่ค่าเทอม แต่ค่าเวลาของพ่อแม่ที่ต้องตื่นแต่เช้าไปส่งลูกก็ต้องจ่าย ขณะที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของ กทม. ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยจิตวิญญาณและความเสียสละของครูพี่เลี้ยง ภายใต้งบประมาณจำกัดสุดๆ ค่าอาหาร 20 บาทต่อวัน ทำให้พ่อแม่ต้องกัดฟันเลือดซิบๆ ให้ลูกได้ไปเนิร์สเซอรี เพื่อให้ตัวเองได้ทำงานอย่างสบายใจ นี่คือกรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่คุณต้องจ่าย

 

วิโรจน์กล่าวทิ้งท้ายว่า ความเชื่อของตนคือ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ไม่ได้จำเป็นต้องมีเทคนิคล้ำเลิศอะไร เป็นคนธรรมดาก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่มองคนกรุงเทพฯ ทุกคนเป็นเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติ เหมือนคนในครอบครัว และพร้อมทุ่มเททำงานหนัก มีเจตจำนงที่มุ่งมั่น ทำงานอย่างลงรายละเอียด เก็บทุกเม็ดเพื่อปกป้องชีวิตของคนกรุงเทพฯ นี่คือหน้าที่ผู้ว่าฯ และถ้าผู้ว่าฯ ชื่อวิโรจน์ กรุงเทพมหานครไม่มีความจำเป็นต้องติดอันดับโลกเพื่อคนอื่น แต่ต้องเป็นเมืองที่คนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ คนที่มีลมหายใจที่นี่ อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ต้องเป็นเมืองที่มีสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ดีที่คนกรุงเทพฯ ทุกคนฝากผีฝากไข้พึ่งพิงได้ กรุงเทพฯ ต้องพร้อมเป็นฟูกผืนหนึ่งที่ทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า สักวันหนึ่งถ้าเราพลาดล้มลงเราต้องไม่เจ็บหนัก เราต้องพร้อมลุกขึ้นยืนใหม่ได้ ไม่ใช่ล้มคนเดียวแล้วล้มทั้งบ้าน หรือถ้าเปรียบกรุงเทพฯ เป็นโรงเรียน กรุงเทพฯ ต้องไม่เป็นโรงเรียนที่เอาแต่เด็กห้องคิงแล้วทิ้งเด็กห้องอื่นไว้ กรุงเทพฯ ต้องไม่เอาแต่ประคบประหงมนักเรียนแลกเปลี่ยน มีชื่อขึ้นป้ายสวยหรูภายใต้ความทุกข์ของเด็กทุกคนในโรงเรียนแบบนี้

 

“ผมเริ่มต้นการทำงานกับพรรคอนาคตใหม่ วันนี้อยู่กับพรรคก้าวไกล ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า เราสามารถลงมือทำให้สิ่งที่เราเป็นอยู่ดีกว่านี้ได้ เราสามารถส่งผ่านอนาคตที่ดีให้กับลูกหลานของเราได้ ดีเอ็นเอของความเป็นอนาคตใหม่ บนวิถีทางการทำงานพรรคก้าวไกล ทำให้ผมพร้อมชนทุกปัญหาเพื่อคนกรุงเทพฯ ทำให้ผมพร้อมแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมาโดยเอาผลประโยชน์คนกรุงเทพฯ เป็นตัวตั้ง พร้อมปักธงอนาคต พาคนที่มีความแตกต่างหลากหลายเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน พอกันทีกับกรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่คุณต้องจ่าย ที่เมื่อไรถ้าคุณไม่จ่ายต้องเจ็บและชินไปเอง หมดเวลาที่เราต้องทน หมดเวลาซุกปัญหาไว้ใต้พรม ถึงเวลาเลือกผู้ว่าฯ ที่พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพฯ ถ้าคนกรุงเทพฯ ต้องการคนไปพร้อมชนกับทุกปัญหา ผมพร้อมเป็นคนคนนั้น สะบัดพรมกรุงเทพฯ ได้เวลาเก็บกวาดแล้วครับ” วิโรจน์กล่าว

 

Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn Wiroj Lakkhanaadisorn

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X