หลายประเทศทั่วโลกต่างกำลังเผชิญหน้ากับสภาวะที่ฤดูหนาวหดสั้นลงจนน่าใจหาย โดยนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าปัญหาโลกร้อนไม่ใช่นิยายที่ถูกแต่งขึ้นหรือเป็นเพียงมายาคติ แต่เป็นกระจกที่สะท้อนว่าสิ่งแวดล้อมโลกกำลังเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว และอาจส่งผลกระทบต่อคนรุ่นต่อไปในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรมอุตุนิยมวิทยาของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า ฤดูหนาวของสหรัฐฯ กำลังหดสั้นลงเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าในปีนี้ฤดูหนาวของสหรัฐฯ จะมีระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นฤดูหนาวที่สั้นที่สุดในรอบ 100 ปีของสหรัฐฯ
ฤดูหนาวที่หดสั้นลง ในความหมายกลับกันคือฤดูอื่นก็จะยาวนานขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพืชบางชนิดที่ปกติจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็นและหน้าดินที่มีความชุ่มชื้น อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นยังทำให้ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายเร็วขึ้นจนส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะ เกิดน้ำท่วม เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว รวมถึงเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะวาตภัยได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่ประเทศอีกฟากหนึ่งของโลกอย่างนิวซีแลนด์ก็ประสบปัญหาฤดูหนาวหดสั้นลงถึง 1 เดือนเช่นเดียวกับสหรัฐฯ โดยฤดูหนาวในปีนี้มีระยะเวลาเพียง 92 วัน (มิถุนายน-สิงหาคม) มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิของประเทศจะยิ่งสูงขึ้น ฤดูหนาวก็จะยิ่งหดสั้นลงเรื่อยๆในอนาคต
รัฐบาลชุดใหม่ของนิวซีแลนด์จากพรรคแรงงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจรุนแรงเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ จึงมีการกำหนดนโยบายเพื่อจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ด้วยการตั้งคณะกรรมการอิสระและกำหนดเป้าหมายจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 นี้
และสำหรับประเทศไทยเอง ถึงแม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศว่าประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าอิทธิพลของลมหนาวที่พัดปกคลุมภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศจะยังคงอ่อนกำลัง โดยเรายังแอบหวังให้ฤดูหนาวปีนี้ไม่สั้นมากเหมือนปีที่ผ่านมา แม้อาจจะเป็นไปได้ยากก็ตาม
อ้างอิง:
