หลังจาก M Pictures เปิดตัวโปรเจกต์ ‘หนังผมไม่เล็กนะครับ’ ที่คัดหนังคุณภาพ 4 เรื่องมาเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าเอาใจคอหนังทุกคนไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่หนังเรื่องแรกของโปรเจกต์จะเริ่มฉายให้ทุกคนได้ดูกัน
เริ่มต้นจาก Wind River หนังอาชญากรรมระทึกขวัญ ผลงานกำกับของ เทย์เลอร์ เชอริแดน (Taylor Sheridan) หลังจากฝากผลงานการเขียนบทเข้มๆ ไว้ใน Sicario (2015) และ Hell or High Water (2016) โดยงานนี้เขาได้รับมอบหมายให้กำกับบทที่เขาเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง
ครั้งนี้เขาเลือกหยิบเรื่องของ คอรี รับบทโดย เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner) เจ้าหน้าที่กรมสัตว์ป่าในเขตชนพื้นเมืองอินเดียนแดง กับการสืบสวนคดีฆาตกรรมเด็กสาวชาวอินเดียนแดงที่นอนแข็งตายภายใต้หิมะอย่างมีเงื่อนงำ โดยมี เจน รับบทโดย อลิซาเบธ โอลเซน (Elizabeth Olsen) เจ้าหน้าที่ FBI สาวไฟแรงมาร่วมค้นหาปริศนาอันดำมืด ที่ย้อนเรื่องราวไปถึงประวัติศาสตร์ของอเมริกามาเป็นวัตถุดิบสำคัญในการสร้างเรื่องขึ้นมา
ตัดกลับมาที่ฝั่งไทย ถ้าพูดถึงหนังแนวเทรลเลอร์ ที่มีฉากฆาตกรรมเป็นไฮไลต์ ชื่อของก้องเกียรติ โขมศิริ (ผู้กำกับเรื่อง เฉือน, ไชยา, อันธพาล ฯลฯ) คืออันดับต้นๆ ที่เรามักจะนึกถึงเร็วที่สุด และ M Pictures ก็ไม่พลาดที่จะเลือกเขามาเป็นตัวแทนบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้เขายอมรับออกมาแบบเต็มปากเต็มคำว่าเขาหลงรักผลงานของผู้กำกับที่ชื่อ เทย์เลอร์ เชอริแดน คนนี้เข้าให้แล้ว
เปิดประวัติศาสตร์มืดดำของอเมริกาที่ถูกซุกไว้ใต้พรม
ถ้าเทียบกับตัวบทที่เทย์เลอร์ เชอริแดน เขียนตั้งแต่ Sicario และ Hell or High Water จนมาเรื่องนี้เขากำกับเองด้วย มันสามารถรวมเป็นยูนิเวิร์สเดียวกันได้เลย คือการพูดถึงปัญหาของอเมริกันชนชายขอบ คราวนี้เขาเล่าเรื่องอเมริกันฝั่งเหนือ พูดถึงชาวอินเดียนแดงที่ถูกคนอเมริกาทำร้าย แล้วปัญหาทั้งหมดก็ถูกซ่อนไว้ใต้พรมไม่มีใครเห็น แต่ผู้กำกับเขาเลือกที่จะกวาดปัญหาออกมาข้างนอก แล้วบอกเลยว่าเราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นๆ อย่างสัจจริง เราจะแสร้งว่าเป็นผู้อารยะไม่ได้ ถ้าหากยังซุกปัญหาของคนอื่นๆ เอาไว้ใต้พรมนั้นอยู่ ชาวอินเดียนแดงทั้งหมดในเรื่องจะเป็นตัวแทนที่จะพูดถึงความเจ็บปวดตรงนี้ เรื่องราวเริ่มต้นจากความเจ็บปวด แต่สุดท้ายมันจะจบลงด้วยความหวัง
ฉากหิมะขาวหนาวเย็นที่ทำให้จิตใจร้อนสั่น
ถ้าดูจากตัวอย่างหนังจะเห็นว่ามีแต่ฉากที่เป็นหิมะเต็มไปหมด บทพูดน้อยๆ คนอาจคิดว่าคงจะน่าเบื่อ แต่พูดเลยว่าขนาดเป็นคนทำหนังแนวนี้เหมือนกัน ดูหนังแบบนี้มาเยอะ มีภูมิคุ้มกันพอสมควร แต่ผมจิกแขนตัวเองทุกๆ 5 นาที เฮ้ย นี่มึงเล่นแบบนี้เลยเหรอวะ
แล้วผู้กำกับเล่นกับสถานการณ์ของมนุษย์ได้แม่นยำมาก โดยสถานการณ์ที่สร้างให้เกิดเหตุแห่งความคับขัน ทุกอย่างไม่ต้องโฉ่งฉ่าง เล่นกับความไม่ไว้วางใจของมนุษย์ เหมือนฉากบนโต๊ะกินข้าวที่เราเห็นใน Sicario หรือถ้าคลาสสิกหน่อยก็ฉากโยนเหรียญใน No Country for Old Men (2007) ที่ค่อยๆ ให้สถานการณ์บีบบังคับตัวละครไปทีละนิด ให้คนลุ้นว่ามันจะเริ่มยิงกันเมื่อไร ใครจะตายไม่ตาย ซ่อนความพีกไว้ภายใต้ฉากธรรมดาๆ แต่พอถึงเวลาพีกมันก็พีกขึ้นไปได้เลย พวกนี้ผมเรียกว่าซีนทองคำ แล้วในเรื่องนี้มันมีแบบนั้นเกิดขึ้น 4-5 ครั้งเลย
ในหนังอาจจะไม่ได้มีฉากยิงกันเยอะตูมตามสะใจแบบเวลาดูหนังมาร์เวล แต่สำหรับผมการต่อสู้ยิงกันบนหิมะในเรื่องนี้มันรุนแรงกว่ามาร์เวลสู้จนตึกถล่มทั้งเมืองอีก แบบนั้นเรารู้สึกว่า อ้าว พอไพร่พลหรือตัวละครตัวเล็กตัวน้อยตายมันก็ไม่มีปัญหานี่หว่า เหมือนไอ้ตัวกี้ กี้ (ตัวร้ายลูกกะจ๊อกในขบวนการ 5 สี) ที่ออกมาเพื่อตาย แต่ในเรื่องนี้ คนตัวเล็กตัวน้อยที่เราเพิ่งเห็นอยู่เมื่อกี๊ พอเขาโดนแต่ละนัดเข้าไปนี่มันทำให้เรารู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาได้จริงๆ กระสุนแต่ละนัดที่ลั่นออกมาคือเขาคิดมาแล้วอย่างดีว่ามันต้องมีความหมาย
ความรักในฐานะผู้กำกับ
เวลาผมเจอผู้กำกับที่ทำอะไรแบบนี้ได้แล้วผมจะรักเขาทันทีเลยนะ คนแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า อ้าว บนโลกนี้ยังมีคนเชื่อที่จะทำอะไรแบบนี้ขึ้นมาอยู่ กูไม่ได้ว้าเหว่เว้ย เวลาดูหนัง เทย์เลอร์ เชอริแดน แล้วใจเราจะรู้เลยว่า นี่คือทางของมึง นี่คือสิ่งที่มึงรัก ผมว่านี่คือคุณสมบัติของผู้กำกับที่ดี ที่เราสามารถรักเขาได้เหมือนที่เรารัก คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) เหมือนที่เรารัก เดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher) หรือ สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) เขาอาจจะไม่ได้ปีนบันไดชาญฉลาดเหมือนโนแลน แต่เราจะรักเขาแบบนั้นได้แน่ๆ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น
ในวันที่ ฮอว์ก อาย (Hawkeye) และสกาเล็ต วิตช์ (Scarlet Witch) ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาของซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่น
นักแสดงนำทั้งเจเรมี เรนเนอร์ กับอลิซาเบธ โอลเซน ทำได้ดีทั้งคู่ โดยเฉพาะฝ่ายขายที่เราเห็นเขาในบทฮอว์ก อาย สมาชิกของ The Avengers ที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไร เราเลยไม่ค่อยได้เห็นมิติการแสดงมุมอื่นของเขาเท่าไรนัก แต่เรื่องนี้เขาต้องเล่นบทนายพรานกร้านโลกที่มีบาดแผลจากการสูญเสียลูกสาว พอมีเคสแบบเดียวกันเกิดขึ้น เขาได้คุยกับพ่อของเด็กคนนั้น แล้วต้องปลอบใจเขาทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังผ่านเหตุการณ์ของตัวเองไปไม่ได้ ในแง่นี้เขาทำได้ดีมาก คือเจ็บปวดแต่ไม่ฟูมฟาย และต้องให้กำลังใจคนอื่น แล้วก็ต้องเด็ดขาดในการทำงาน มันมีมิติ 3-4 ชั้นที่ซ้อนกันอยู่ ซึ่งถ้านักแสดงตีความผิดเยอะหรือน้อยไปนิดเดียวมันจะคลิเช่ไปทันที
ส่วนฝ่ายหญิงก็ทำได้ดีมากเหมือนกัน แต่ยอมรับว่าเจเรมีเด่นกว่าพอสมควร สำหรับผมโอลเซนคือนักแสดงหญิงที่มีคาแรกเตอร์น่าสนใจมาก รู้สึกว่าเขามีความเป็น โจดี้ ฟอสเตอร์ (Jodie Foster) อยู่ประมาณหนึ่ง ด้วยหน้าตา คาแรกเตอร์ และอะไรหลายๆ อย่าง คือเหมาะกับการเป็นผู้หญิงที่เหมือนจะอ่อนแอ แต่ข้างในแข็งแกร่งและไม่ยอมใคร ผมว่าเธอเหมาะกับคาแรกเตอร์แบบนี้ที่สุดแล้วในยุคนี้
(ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Wind River)
- Wind River จะเข้าฉายวันแรกในที่วันที่ 30 พฤศจิกายน โดยทาง M Pictures ร่วมกับโรงภาพยนตร์ 3 เครือยักษ์อย่าง Major Cineplex, SF และ Apex เปิดราคาค่าตั๋วเริ่มต้นที่นั่งละ 120 บาท เพื่อเปิดโอกาสให้คอหนังชาวไทยได้สัมผัสหนังดีจากทุกมุมโลกที่คัดสรรมาในโปรเจกต์ ‘หนังผมไม่เล็กนะครับ’ ครั้งนี้
- นอกจากรับหน้าที่เขียนบทในเรื่อง Hell or High Water เทย์เลอร์ เชอริแดน ยังรับบทเป็นนักแสดงในเรื่องควบคู่กันไปด้วย