เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศการตัดสินใจที่จะยกเลิก NHS England หรือระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ และนำกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ‘ตามระบอบประชาธิปไตย’ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดระบบราชการที่ซับซ้อนและการทำงานที่อาจซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ
NHS England จะถูกยุบรวมเข้ากับกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า จะเปิดโอกาสให้มีการจัดสรรเงินทุนไปให้กับบริการด่านหน้า (Frontline Services) ได้มากขึ้น ขณะที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการลดตำแหน่งงานลงประมาณ 50% โดยนับรวมทั้งบุคลากรจาก NHS England ซึ่งมีอยู่ราว 14,400 คน และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีบุคลากร 3,500 คน ณ เดือนธันวาคม
ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองฮัลล์ สตาร์เมอร์กล่าวว่า ที่ผ่านมานักการเมืองเลือกที่จะหลบอยู่หลังองค์กรอิสระกึ่งราชการ (Quango) ที่มีอยู่มากมาย องค์กรเหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีของประชาชน แต่กลับไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงจากรัฐบาล
ทั้งนี้ รัฐบาลประกาศว่าการดำเนินการยุบรวมหน่วยงานจะเริ่มขึ้นในทันที เพื่อส่งคืนหน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆ ที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้ NHS England กลับไปยังกระทรวงสาธารณสุข โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้กระบวนการทั้งหมดนี้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2 ปี การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจและความรับผิดชอบมากขึ้นในการทำตามพันธสัญญาที่สำคัญที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการลดระยะเวลารอคอยการรักษาพยาบาลของ NHS
บทบาทของ NHS England
NHS England ซึ่งรัฐบาลได้ขนานนามว่าเป็น ‘องค์กรอิสระกึ่งราชการที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ มีหน้าที่ในการกำกับดูแลบริการด้านสุขภาพ โดยทำงานร่วมกับรัฐบาลในการตกลงเรื่องการจัดสรรงบประมาณและกำหนดแผนงานตามลำดับความสำคัญต่างๆ ตลอดจนการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของ NHS ในระดับท้องถิ่น
ในปี 2012 องค์กรได้รับมอบอำนาจในการบริหารจัดการตนเองจากแอนดรูว์ แลนสลีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระ โดยปราศจากการแทรกแซงจากนักการเมือง
เวส สตรีททิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบัน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นการ ‘ปลดเปลื้องภาระ’ ของบุคลากรที่ทำงานอยู่ในด่านหน้าจาก ‘ทิศทางการดำเนินงานที่ขัดแย้งกัน’ และมีมากจนเกินไป นอกจากนี้เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมในรายการ PM ของ BBC Radio 4 ว่า ผลลัพธ์ที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงนี้จะมอบความคุ้มค่าที่มากขึ้นสำหรับผู้เสียภาษี และผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วย เนื่องจากเงินหลายร้อยล้านปอนด์ที่เราสามารถประหยัดได้ จะถูกนำไปจัดสรรใหม่ให้กับด่านหน้าเพื่อมอบการดูแลที่ดีขึ้นให้กับประชาชน
เสียงตอบรับและเสียงวิจารณ์
เคมี บาเดนอค หัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ได้ออกมาขานรับความเคลื่อนไหวที่จะนำระบบบริการสุขภาพแห่งชาติกลับมาอยู่ภายใต้การบริหารของกระทรวงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เธอก็ได้เตือนว่าพรรคเลเบอร์ “ไม่สามารถปกปิดได้ หากเกิดสิ่งผิดพลาดขึ้น” พร้อมกล่าวเสริมว่า เธอไม่ตั้งความหวังสูงนัก เนื่องจากพรรคแรงงานได้เคยบริหารจัดการ NHS ในเวลส์มาแล้ว และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นแย่กว่าส่วนอื่นๆ ของประเทศมาก
ด้าน เซอร์เอ็ด ดาวีย์ หัวหน้าพรรคลิเบอร์รัลเดโมแครติก ได้ออกมาสนับสนุนแผนการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน แต่ขณะเดียวกันก็แย้งถึงปัญหาหลักที่ NHS กำลังเผชิญอยู่ โดยเขาเสนอว่า เพื่อแก้ปัญหาของ NHS รัฐบาลจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (GP) ทันตแพทย์ เภสัชกรชุมชน และทำให้การดูแลทางสังคมสามารถทำได้จริง
The Health Foundation เตือนว่า การปรับโครงสร้างองค์กรใหม่นี้อาจทำให้ผู้นำระดับสูงสับสนและไขว้เขว ขณะที่ ชารอน แกรห์ม หัวหน้าสหภาพ Unite กล่าวว่า “การตัดลดตำแหน่งงานเหล่านี้ เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้มีการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ซึ่งอาจส่งผลให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้าปฏิบัติงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ”
การปฏิรูปรัฐบาลในวงกว้าง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักการเมืองได้หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังองค์กรอิสระกึ่งราชการที่มีอยู่มากมาย เป็นเสมือนอุตสาหกรรมขนาดเล็กของผู้ตรวจสอบและผู้ขัดขวางที่ใช้เงินของผู้เสียภาษีเพื่อหยุดยั้งรัฐบาลจากการมอบสิ่งที่สำคัญที่สุดให้กับผู้เสียภาษี”
แม้ว่าจำนวนองค์กรกึ่งราชการจะลดลงไปมากกว่าครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2010 แต่ก็ยังมีองค์กรเหล่านี้อยู่มากกว่า 300 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร ซึ่งรวมถึงหน่วยงานกำกับดูแล สถาบันทางวัฒนธรรม และองค์กรที่ปรึกษาต่างๆ ตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่อย่าง NHS England ไปจนถึงองค์กรขนาดเล็กกว่า เช่น คณะกรรมการการพนัน และสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ
ขณะเดียวกันรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้พรรคแรงงานได้จัดตั้งองค์กรกึ่งราชการใหม่กว่า 20 แห่งแล้วนับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเปิดเผยว่า ต้องการที่จะลดขนาดของ Civil Service ซึ่งปัจจุบันมีบุคลากรจำนวนมากกว่า 500,000 คน
ในถ้อยแถลงครั้งหนึ่ง สตาร์เมอร์ได้เชื่อมโยงความจำเป็นในการปรับรูปรัฐบาลเข้ากับความไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ค่าครองชีพในประเทศสูงขึ้น และให้คำมั่นว่าจะลดต้นทุนด้านกฎระเบียบสำหรับภาคธุรกิจลง 25% เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แผนการของเขายังรวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มากขึ้น เนื่องจากมองว่าข้าราชการไม่ควรเสียเวลาไปกับงานที่ระบบดิจิทัลหรือ AI สามารถทำได้ดีกว่าและเร็วกว่า
สำหรับประชาชนทั่วไป คำถามสำคัญที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดการปรับปรุงที่เห็นได้ชัดเจนหรือไม่ ซึ่ง ลอร์ด โอดอนเนลล์ อดีตหัวหน้า Civil Service กล่าวว่า ข้อความที่รัฐบาลส่งถึงข้าราชการนั้น ‘แทบจะเรียกได้ว่าหายนะ’ และ ไมค์ แคลนซี หัวหน้าสหภาพแรงงาน Prospect กล่าวว่า เขาเห็นด้วยว่าจำเป็นต้องมีการปฏิรูป แต่รัฐบาลต้องตระหนักว่า มีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการลดระบบราชการ กับการบ่อนทำลายหน้าที่สำคัญของรัฐ
ภาพ: Mike Kemp, Leon Neal / Getty Images
อ้างอิง: