เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมนับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อสหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกกลุ่ม G7 ได้บังคับใช้นโยบายกีดกันการนำเข้าน้ำมันดิบจากทางรัสเซีย
สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างรัสเซีย โดยทางรัสเซียกล่าวว่าจะหยุดการส่งออกไปยังประเทศใดก็ตามที่เข้าร่วมกับนโยบายควบคุมราคานี้ ซึ่งเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนโยบายมีผลบังคับใช้ ความปั่นป่วนในด้านซัพพลายก็ก่อตัวขึ้น เริ่มจากการที่มีรถขนน้ำมันจำนวนมากต้องติดชะงักอยู่ที่ช่องแคบบอสฟอรัสในตุรกี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘Goldman Sachs’ หั่นเป้าราคาน้ำมันเหลือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล-โควิดจีนฉุดดีมานด์ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อเดือน
- Backwardation และ Contango คืออะไร? ในขณะที่ราคาน้ำมันกำลังกลับทิศ
- ไม่มีแล้ว KFC ในรัสเซีย! Yum! ประกาศขายให้บริษัทท้องถิ่นที่จะต้อง ‘รีแบรนด์ใหม่’ ถึงจะกลับมาเปิดขายได้
ปกติแล้วปัจจัยเหล่านี้ควรที่จะดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาที่กลุ่ม OPEC+ (กลุ่มประเทศสมาชิก 10 ประเทศที่ส่งออกน้ำมัน แต่ไม่ใช่กลุ่ม OPEC ดั้งเดิม) ได้ลดการผลิตลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เหตุใดราคาน้ำมันจึงยังคงถูกซื้อขายกันที่ 76.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในปี 2022
อุปทานน้ำมันรัสเซียยังคงแข็งแกร่ง
การสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกโดยยุโรป ถือว่าเป็นการลงโทษทางการค้าอย่างแท้จริง จุดประสงค์ของการลงโทษครั้งนี้คือการบีบให้รัสเซียต้องโยกย้ายอุปทานน้ำมัน ลดรายได้ของรัสเซีย และหยุดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของประเทศพันธมิตรต่างๆ ที่พยายามสนับสนุนยูเครนแต่กลับซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งสามารถบอกเป็นนัยได้ว่านี่อาจจะเป็นการสนับสนุนให้รัสเซียสามารถยืดสงครามออกไปได้ เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการค้าน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียโดยยุโรปนั้น เมืองหลวงหลายแห่งในชาติตะวันตกเริ่มมีความกังวลว่ามาตรการครั้งนี้อาจนำไปสู่ความปั่นป่วนในฝั่งอุปทานของรัสเซียที่ส่งออกน้ำมันยากขึ้นด้วยข้อจำกัดต่างๆ และยุโรปเองอาจได้รับผลกระทบเชิงลบของปริมาณน้ำมันที่ขาดแคลน ผลักให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่เงินเฟ้อในอัตราที่เพิ่มขึ้นในที่สุด
ด้วยเหตุนี้นโยบายควบคุมเพดานราคาน้ำมันของกลุ่มประเทศ G7 จึงมีจุดประสงค์ที่จะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ โดยทำให้แน่ใจว่าน้ำมันจะยังไปถึงมือผู้บริโภคตามความต้องการ เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลนที่มีผลมาจากนโยบายกีดกันนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น รวมถึงนโยบายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็ถูกผ่อนคลายลงที่จะทำให้ผู้ซื้อขายมั่นใจได้ว่าอุปทานน้ำมันจะไม่ลดฮวบลงไป
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาก็พยายามโน้มน้าวให้สหภาพยุโรปผ่อนปรนหนึ่งในมาตรการของการสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย นั่นก็คือการยุติการให้บริการ Maritime Service หรือการซ่อมบำรุงเรือขนส่งสินค้าใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ และซื้อขายน้ำมันเกินกว่าราคา 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ที่ช่วงแรกมีระยะเวลาการยุติการให้บริการตลอดไป เปลี่ยนให้เหลือเพียง 90 วัน
Amos Hochstein ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพลังงานของสหรัฐฯ พูดถึงนโยบายควบคุมราคาน้ำมันที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลว่า “นโยบายถูกออกแบบมาเพื่อให้มั่นใจว่าหากมีการพุ่งขึ้นของราคา สิ่งนี้จะไม่ถูกใช้เพื่อทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน หรือทำให้ศักยภาพในการสนับสนุนยูเครนลดลง และจะไม่เป็นการสนับสนุนโดยเพิ่มรายได้ให้กับผู้รุกราน (รัสเซีย) ที่จะสามารถใช้รายได้ส่วนนี้ในการก่อความวุ่นวายยาวนานไปกว่านี้อีก”
ด้าน Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่า เพดานราคาที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกับที่รัสเซียขายน้ำมันอยู่แล้ว และยังกล่าวเพิ่มด้วยว่านโยบายนี้จะมีผลเพียงเล็กน้อยกับรายได้หรืองบประมาณของรัสเซีย
“เราจะไม่เสียผลประโยชน์ ไม่ว่าในกรณีใด” อย่างไรก็ตาม รัสเซียยังสามารถเลือกที่จะสร้างความไม่มั่นคงให้กับตลาดน้ำมันโดยการลดกำลังการผลิต “หากจำเป็น” Putin กล่าว
รัสเซียนั้นปฏิเสธที่จะเจรจากับผู้ซื้อใดก็ตามที่ต้องการจะยึดนโยบายควบคุมราคาน้ำมันต่อรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้จะเป็นเช่นนี้เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกกล่าวเสริมว่า ผู้ผลิตน้ำมันในฝั่งเอเชียจะสามารถใช้ราคานี้ในการเจรจาต่อรองเพื่อกดราคากับรัสเซียได้บ้าง
Urals ซึ่งเป็นน้ำมันชนิดหลักของรัสเซีย มีการซื้อขายกันที่ราคา 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตามข้อมูลของสำนักข่าว Reuters
ทาง Florian Thaler ประธานเจ้าหน้าที่ของ OilX บริษัทวิเคราะห์และติดตามข้อมูลการซื้อขายแลกเปลี่ยนน้ำมันทั่วโลก กล่าวว่า “ปริมาณน้ำมันที่รัสเซียมีอยู่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาด” พร้อมกล่าวเสริมว่า การลดลงนั้นไม่น่าจะมีให้เห็นจนกว่าจะถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2023
การลดการผลิตของ OPEC+ ไม่ได้มากอย่างที่คิด
ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และพันธมิตรในกลุ่ม OPEC+ ประกาศที่จะลดกำลังการผลิตถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 2% ของปริมาณที่ผลิตทั่วโลก ซึ่งองค์กรนานาชาติกล่าวหาว่าการตัดสินใจของกลุ่ม OPEC+ เป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจโลก
แม้ว่าปัญหาเงินเฟ้อในเศรษฐกิจตะวันตกที่มีสาเหตุหลักมาจากการขาดแคลนพลังงาน แต่การตัดสินใจครั้งนี้โดยกลุ่ม OPEC+ ค่อนข้างจะเหมาะสมหากพิจารณาจากข้อมูลช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้ว่าจะมีการลดการผลิต ราคาน้ำมันก็ยังคงปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลสนับสนุนความคิดของรัฐมนตรีพลังงานของซาอุดีอาระเบียอย่างเจ้าชาย Abdulaziz bin Salman ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่า การลดกำลังการผลิตล่วงหน้านั้นจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาน้ำมันดิ่งหนัก เนื่องด้วยสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
การลดการผลิตโดยกลุ่ม OPEC+ น้อยกว่าสิ่งที่ผู้คนบางส่วนคาดการณ์ สาเหตุหนึ่งมาจากผู้ผลิตบางราย เช่น แองโกลา และไนจีเรีย ไม่สามารถผลิตได้ตามเป้า ดังนั้นแทนที่น้ำมันจำนวน 2 ล้านบาร์เรลต่อวันจะหายไปจากตลาด ในความเป็นจริงนั้นปริมาณที่หายไปทั้งหมดอยู่ที่ราวๆ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ไปสู่จุดต่ำสุดของปี 2022 ได้
ความกังวลในฝั่งอุปสงค์สูงกว่าฝั่งอุปทาน
หลายเดือนหลังจากความกังวลหลักเรื่องความปั่นปวนในฝั่งอุปทาน นักเทรดเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ที่เป็นผลจากสงครามในยูเครน รวมทั้งสงครามพลังงานในยุโรป ประกอบกับธนาคารกลางต่างๆ ที่พยายามเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจะหยุดเงินเฟ้อที่ร้อนแรง
ธนาคารต่างๆ ใน Wall Street มองว่าเศรษฐกิจในปี 2023 ค่อนข้างน่าเป็นห่วง “เมื่อผมพูดคุยกับลูกค้า พวกเขาดูกังวลและระมัดระวังมาก” David Solomon ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารชั้นนำอย่าง Goldman Sachs กล่าวในสัปดาห์นี้
แนวโน้มขาลงของตลาดน้ำมันเริ่มปรากฏตัวให้เห็นจากการเปลี่ยนสถานะของ Backwardation (สภาวะตลาดที่ราคาสินค้า ณ ปัจจุบันมีราคาสูงกว่าราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสินค้าตัวเดียวกันในอนาคต) ไปสู่สถานะที่ตรงกันข้ามคือ Contango
การสลับสถานะของราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับราคาปัจจุบันนี้ แสดงให้เห็นว่านักเทรดมีมุมมองว่าตลาดน้ำมันปริมาณอุปทานมีมากเกินไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังว่าจะมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
ความกังวลหลักของตลาดน้ำมันมีปัจจัยมาจากจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีการบริโภคน้ำมันมากที่สุดในโลก ด้วยประเทศจีนเองที่ใช้นโยบาย Zero-COVID ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะนำไปสู่การบริโภคน้ำมันที่น้อยลง และน้อยกว่าปี 2021 จากข้อมูลขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) นับว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบศตวรรษ
ในขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจมีความหวังที่จะหลีกเลี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่ความต้องการบริโภคน้ำมันของคนในประเทศก็คล้ายกับว่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่ปริมาณการบริโภคน้ำมันของสหรัฐฯ ก็ยังไม่เคยกลับไปสู่จุดเดิมก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด
แต่ราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวสูงขึ้นก็ได้
ผู้ที่มีมุมมองว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลงชี้ให้เห็นว่านี่คือการจบรอบวงจรขาขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันต่ำไปอีกสักระยะ แต่อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าราคาอาจจะปรับตัวขึ้น เนื่องจากการลงทุนที่ต่ำในด้านของการผลิต การเติบโตที่เชื่องช้าในการผลิตก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น การลดลงของอุปทานน้ำมันรัสเซียอาจจะมีผลให้เห็นในปีข้างหน้า และความต้องการที่น้อยของจีนก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดนัก ก่อนจะกลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
เรากำลังขยับออกจากปี 2022 ซึ่งความต้องการพลังงานไม่เติบโตเลย ไปสู่ความต้องการที่เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาร์เรลในปีหน้า และเราก็จะเห็นความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นอย่างมากจากจีนในอนาคตอันใกล้
ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนมีแผนว่าจะเพิ่มสต๊อกน้ำมัน หากราคาลดลงมาอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
“ผู้ขายน้ำมันดิบจำนวน 200 ล้านบาร์เรลในปี 2022 อาจกลายเป็นหนึ่งในผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของปี 2023” Bill Smead กรรมการของ Smead Capital Management กล่าวถึงปริมาณน้ำมันฉุกเฉินที่ถูกปล่อยออกมาในปีนี้ “ประวัติศาสตร์ชี้ว่าเราจะได้เห็นราคาน้ำมันและก๊าซที่สูงไปอีกหลายปี” เขากล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิง:
- https://www.ft.com/content/202d0463-184c-4b14-8eb9-6fc80f147b16
- https://newsrnd.com/news/2022-12-05-the-european-union-embargo-on-russian-oil-came-into-force–what-is-it-and-how-would-it-affect-the-world-.Skx1hyb3Pj.html
- https://www.cnbc.com/2022/12/02/russia-oil-price-cap-g-7-outline-how-it-is-going-to-work.html
- https://www.yahoo.com/now/g7-price-cap-russian-oil-000803031.html
- https://edition.cnn.com/2022/12/04/energy/opec-production-oil-prices/index.html