ฟังจากทีมงานของทรัมป์ที่ออกมาให้สัมภาษณ์แล้ว ต่างมองว่าจีนคงจะทนเจ็บไม่ได้และอีกเดี๋ยวคงวิ่งมาเจรจา แต่ทั้งหมดนี้เป็นการประเมินที่ผิดพลาดและประเมินไพ่ของตัวเองสูงเกินไป
ทรัมป์และทีมมองว่า เศรษฐกิจจีนตอนนี้อ่อนแอมาก จีนเผชิญแรงกดดันไม่ไหว และจีนส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่าสหรัฐฯ ส่งออกไปจีนถึง 5 เท่าตัว ถ้าจีนจะไม่ขายของให้สหรัฐฯ โรงงานจีนจะปิดตัวมากมาย คนงานจีนจะตกงานมหาศาล พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่รักษาอำนาจได้ด้วยความสำเร็จทางเศรษฐกิจ ก็จะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
แต่สหรัฐฯ ไม่รู้ว่ากำลังเล่นกับไฟ เล่นกับศักดิ์ศรีและพลังชาตินิยมของคนจีน คนจีนมีประวัติศาสตร์ถูกฝรั่งรังแก ที่คนจีนเรียกกันว่าเป็นศตวรรษแห่งความอัปยศอดสู (One Hundred Years of Humiliation) และคนจีนให้ความสำคัญกับการรักษาหน้าเป็นอันดับ 1 พร้อมตายดีกว่าถูกหยามหน้า
เศรษฐกิจจีนซบเซาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดนอีกสักดอกก็ทนกันต่อไป ล็อกดาวน์โควิดสองปีก็ทนกันมาได้ (บางคนบอกได้ซ้อมปิดประเทศเตรียมตัวมาแล้ว) แถมกลายเป็นว่าแรงกดดันต่อรัฐบาลจีนกลับลดลง เพราะคนจีนมองว่าที่เศรษฐกิจไม่ดีเพราะถูกสหรัฐฯ รังแก ไม่ใช่เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลจีน
ครั้งนี้จึงแตกต่างอย่างมากจากสงครามการค้ารอบแรก ตอนนั้นเศรษฐกิจจีนกำลังขาขึ้น คนจีนยังทนเจ็บไม่ได้ ต่างเรียกร้องให้รัฐบาลจีนรีบไปเจรจาหาทางออก และสมัยนั้นยังคิดว่าสามารถเจรจาได้ อีกไม่นานเดี๋ยวทรัมป์ก็ไป โลกก็จะกลับมาเหมือนเดิม
แต่หลังจากทรัมป์ไป รัฐบาลไบเดนไม่ได้ยกเลิกกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนเลย แถมยังกีดกันเทคโนโลยีจีนเพิ่มเติมยิ่งกว่าทรัมป์อีก และทรัมป์ก็ยังหวนกลับมาอีกรอบพร้อมซัดจีนหนักแบบนี้ คนจีนจึงมองว่านี่เป็นศึกระยะยาวแล้ว ไม่จบง่ายๆ ขืนไปเจรจาไปง้อเขาตอนนี้ เขาก็ซัดเราไม่จบอยู่ดี สู้เรากอดคอระเบิดกันไปทั้งคู่ให้ดูกันไปว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะทนเจ็บไหวไหม
ฝั่งสหรัฐฯ ยังมองว่าจีนจะเจ็บหนักชนิดทนไม่ได้ แต่อาจไม่ทราบว่าจีนได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพอสมควร จีนเจ็บหนักนั้นหนักแน่ แต่หนักน้อยกว่าสงครามการค้ารอบแรก เพราะจีนพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง (จากร้อยละ 24 ของการส่งออกทั้งหมด เหลือร้อยละ 14.8) และปัจจุบันการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณร้อยละ 2 ของ GDP จีน
สหรัฐฯ ตั้งอัตราภาษีต่อสินค้าจีนร้อยละ 145 ทำให้สินค้าจีนไม่สามารถขายในสหรัฐฯ ได้ แต่จีนก็คงพยายามระบายสินค้าเหล่านี้ภายในประเทศ และพยายามส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาทดแทน คงพอจะดูดซับได้ส่วนหนึ่ง จีนคงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นเจ็บนั้นเตรียมใจพร้อมเจ็บ แต่รัฐบาลจีนบอกฟ้าไม่ถล่มแน่นอน
ทีมงานของทรัมป์ชอบให้สัมภาษณ์ว่า คนซื้อมีอำนาจต่อรอง ส่วนคนขายไม่มีอำนาจต่อรองหรอก เพราะไม่ขายให้สหรัฐฯ แล้วจะทำอย่างไร จะปิดโรงงาน จะให้คนตกงาน จะให้สหรัฐฯ หันไปสั่งเจ้าใหม่ จีนก็จะเสียลูกค้าไปตลอดกาล แล้วของส่วนใหญ่ที่จีนผลิต คนอื่นก็ทำแทนได้ ไม่ได้ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงอะไร แม้กระทั่งแร่แรร์เอิร์ธที่บอกว่าจีนผลิตได้มากกว่าร้อยละ 90 นั้น คนอื่นจะผลิตก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็น
แต่นี่ก็เป็นการประเมินที่ผิดพลาด เพราะคนขายมีอำนาจต่อรองแน่ถ้าคนขายพร้อมยอมพังพินาศไปด้วยกันกับคนซื้อ สินค้าจากจีนที่ขายในสหรัฐฯ นั้น ไม่ได้หาแหล่งทดแทนได้ทันทีหรือได้ง่ายดาย ดังนั้น จะเกิดช็อกแน่นอนต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ สินค้าขาดแคลน ราคาข้าวของสูงขึ้น แรร์เอิร์ธที่บอกว่าจริงๆ ใครก็ผลิตได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะลงทุนตั้งโรงงานและดำเนินการผลิต ระยะสั้นจะวิบัติหายนะแน่สำหรับสหรัฐฯ
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในสหรัฐฯ ล้วนมาจากจีน ดังที่ทรัมป์สุดท้ายต้องออกมายกเว้นกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากภาษีร้อยละ 145 ไปก่อน (ก่อนที่วันต่อมาทรัมป์บอกเตรียมจะกลับมาจัดเก็บใหม่ แค่จะย้ายหมวด) อีกกลุ่มที่จะกระทบมากคือยา เพราะวัตถุดิบในการผลิตยาในสหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมากกว่าร้อยละ 90 ราคายาและความปั่นป่วนต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐฯ จะตามมาแน่
คำถามที่จีนถามกลับคือ สหรัฐฯ แน่ใจนะว่าจะทนไหว จีนไม่มีการเลือกตั้ง แต่สหรัฐฯ มีการเลือกตั้ง การเลือกตั้งมิดเทอมก็ใกล้เข้ามา คนจีนตลาดหุ้นตก ก็มีกองทุนรัฐบาลเข้าไปซื้อพยุง และเงินเก็บคนจีนก็ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น แต่คนสหรัฐฯ นั้น เงินเก็บเกษียณอยู่ในตลาดหุ้น รับได้ไหมกับความปั่นป่วนในตลาด นี่ยังไม่นับตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปั่นป่วนอีก แต่ทั้งหมดนี้ ไว้รอตลาดสินค้าราคาถูกใน Walmart ปั่นป่วนก่อน นั่นแหละจะวุ่นวายของจริง
รอบนี้ ทรัมป์เล่นเกมเกินตัว หากทรัมป์ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีสิ่งที่เรียกร้องจากจีนชัดเจน และให้เกียรติจีน จีนคงไม่กล้าทนเจ็บและยอมมาเจรจา แต่ทรัมป์ก่อนหน้านี้ซัดจีนด้วยภาษีร้อยละ 20 ไปแล้วสองรอบ และซัดรอบใหญ่อีกครั้งพร้อมกันกับซัดทั่วโลก เพราะทรัมป์หวังเล่นเกมทุบแรง บีบให้ทุกคนวิ่งมาสวามิภักดิ์ แต่จีนดันเตรียมแผนสู้กลับ และปลุกพลังทั้งชาติให้เตรียมใจรับความยากลำบากและตั้งท่าลากเกมยาว ไม่ต่อสายคุย
นโยบายการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์นั้น จุดประสงค์คือต้องการให้โรงงานกลับมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ แต่นโยบายนี้จะประสบความสำเร็จได้ นอกจากคุณจะต้องตั้งกำแพงภาษีแล้ว คุณยังต้องมีนโยบายสนับสนุนให้อุตสาหกรรมย้ายฐานกลับมา มีคนบอกว่าทรัมป์และทีมเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน นักกลยุทธ์ แต่ไม่มีใครเคยทำอุตสาหกรรมการผลิต จึงไม่มีใครเข้าใจซัพพลายเชน การขึ้นกำแพงภาษีจีนและทั่วโลก ทำให้การนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบมาใช้ในการผลิตสูงขึ้น แล้วสหรัฐฯ จะได้เปรียบในการเป็นฐานการผลิตได้อย่างไร
และถ้าจะเล่นจีนแรงขนาดนี้ ก่อนอื่นคุณต้องค่อยๆ ปรับหาตลาดสินค้าใหม่ทดแทนหรือพยายามรื้อฟื้นการผลิตสินค้าในประเทศทดแทนก่อน แต่นี่คุณหยุดการนำเข้าสินค้าจีนทันที โดยยังไม่ทันมีอะไรมาแทน จีนเจ็บเพราะขายของไม่ได้ แต่คุณก็เจ็บหนักเพราะไม่มีข้าวของที่คุณจำเป็นต้องใช้
ทรัมป์เองคงคิดว่าอย่างไรเดี๋ยวก็ต้องเจรจา เพราะทนกันไม่ได้ทั้งคู่หรอก แต่ครั้งนี้เหมือนจีนจะลากเกมยาวเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า จีนทนได้ โลกปัจจุบันมีพระอาทิตย์สองดวงแล้ว ไม่ใช่สหรัฐฯ ทุบโต๊ะแล้วทุกคนต้องหมอบอีกต่อไป และคุณอาจคิดว่าผมเจ็บหนักกว่า แต่ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าผมทนได้นานกว่าคุณ
ดังที่มีภาพการ์ตูนล้อเลียนที่คมคายออกมา ทรัมป์ถือไพ่แล้วบอกสีจิ้นผิงว่า ไพ่ทั้งหมดอยู่ในมือผม ขณะที่สีจิ้นผิงตอบว่า ไพ่ที่คุณถือ Made in China
ภาพ: Vincent Thian / Pool, Leah Millis via Reuters, e X p o s e via Shutterstock