ดร.ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารด้านโครงการภาวะฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประเมินสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดทั่วโลกในขณะนี้ว่า ทาง WHO ยังคงไม่หมดหวังและมองโลกในแง่บวก โดยเชื่อว่ารัฐบาลนานาประเทศทั่วโลกจะจัดสรรมาตรการมาควบคุมสกัดกั้นการระบาดได้อยู่หมัด ซึ่งถ้าโชคดีเพียงพอ ทั่วโลกจะสามารถคุมการระบาดของไวรัสโควิดได้ภายในปีหน้า
ทั้งนี้ ดร.ไรอันระบุว่า จริงๆ อยากที่จะให้การระบาดยุติในปีนี้ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ กระนั้นก็ยังพอมีหนทางอยู่บ้างที่สถานการณ์ไวรัสโควิดจะยุติได้เร็วขึ้น ถ้าหากว่านานาประเทศจะร่วมมือร่วมใจในการช่วยกระจายวัคซีนให้ประเทศที่ยากจนได้อย่างทั่วถึง เข้มงวดกับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และจัดสรรงบประมาณด้านการสาธารณสุขและโรงพยาบาลให้เพียงพอ
ขณะเดียวกัน ตัวแทนจาก WHO ยังเห็นว่า ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนในอัตราสูงน่าจะหลุดพ้นจากวิกฤตได้ในเร็ววันนี้ ก่อนย้ำว่าปัญหาเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องของวัคซีนที่หลายประเทศกักตุนไว้เกินความต้องการของประชากร ทำให้หลายพื้นที่ทั่วโลกยังคงเผชิญอัตราการระบาดและการตายในระดับสูง โดยช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ยุโรปมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 21% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 16.5% แปซิฟิกตะวันตกราว 30% และฝั่งตะวันออกของเมดิเตอร์เรเนียน 15%
วันเดียวกัน ทางด้านกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นได้อนุมัติรับรองให้ฉีดวัคซีนของ Moderna ในเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 12-17 ปีแล้ว ทำให้วัคซีน Moderna กลายเป็นวัคซีนตัวที่ 2 ต่อจาก Pfizer ที่ได้รับอนุญาตให้ฉีดให้กับชาวญี่ปุ่นในประเทศ โดยทางกระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ จะตัดสินใจเรื่องกำหนดวันฉีดวัคซีนในเร็ววันนี้ และกลุ่มอายุที่ระบุจะได้รับการฉีดวัคซีนฟรีทั่วประเทศ
การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ผลการทดสอบทางคลินิกของกลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 12-17 ปีในสหรัฐอเมริกาไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงใดๆ ขณะเดียวกัน ทางกระทรวงยังได้อนุมัติให้ใช้ยา Casirivimab และ Imdevimab ของบริษัทยาสหรัฐฯ ในการรักษาโควิดในผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยไปจนถึงระดับรุนแรงปานกลาง ซึ่งยา 2 ตัวนี้เป็นตัวเดียวกันกับที่ใช้รักษาอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีผลทดสอบทางคลินิกที่ยืนยันว่าตัวยา 2 ชนิดนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตเพราะโควิดได้ถึง 70%
ขณะที่ญี่ปุ่นเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนในทุกกลุ่มอายุ รัฐบาลอังกฤษกลับมีคำสั่งตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จนกว่าจะมีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เพียงพอมารองรับ และจะฉีดให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปเฉพาะในกลุ่มที่มีความบกพร่องทางระบบประสาทขั้นรุนแรง กลุ่มดาวน์ซินโดรม กลุ่มภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ กลุ่มที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ รวมทั้งผู้ที่ติดต่อกับบุคคลในครอบครัวที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ด้าน ซาจิด จาวิด รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ กล่าวในแถลงการณ์ระบุว่า คำแนะนำเกี่ยวกับการห้ามฉีดวัคซีนในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีในวันนี้มีผลเฉพาะในห้วงเวลานี้เท่านั้น ซึ่งทางคณะกรรมการร่วมด้านวัคซีนและภูมิคุ้มกัน (Joint Committee on Vaccination and Immunization: JCVI) จะเร่งเดินหน้าศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงต่อไป
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษในครั้งนี้กลับสวนทางกับกระแสส่วนใหญ่ของหลายประเทศในยุโรปที่ตัดสินใจฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางเสียงท้วงติงจากผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งที่เห็นว่า น่าจะสำรองและเร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้ใหญ่ให้ครบก่อน เนื่องจากเด็กไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2021/07/19/who-officials-say-we-could-have-covid-under-control-next-year-if-were-really-lucky.html
- https://english.kyodonews.net/news/2021/07/12bde424b4eb-health-ministry-panel-approves-moderna-covid-vaccine-for-ages-12-17.html
- https://apnews.com/article/europe-health-government-and-politics-coronavirus-pandemic-70ffb3d70df838f6736ed14bd3cc12a5