‘หนองคาย’ ถูกเลือกโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ สส. บัญชีรายชื่อเพียงคนเดียวของพรรค ให้เป็นจังหวัดที่จะใช้สำหรับเป็นสถานที่ในการจัดพลังประชารัฐสัญจรครั้งที่ 2
จากดินแดนมะขามหวาน ‘เพชรบูรณ์’ พลังประชารัฐสัญจรครั้งแรก ถึงดินแดนพญานาคา ‘หนองคาย’ พลังประชารัฐสัญจรครั้งที่ 2 แม้พลังประชารัฐจะไม่ได้ชนะยกจังหวัดและได้เพียงเก้าอี้เดียว แต่เป็นจังหวัดที่สามารถล้มเจ้าของแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทยมาได้ ถือเป็นอีกจังหวัดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
สำหรับพลังประชารัฐสัญจรในวันนี้บรรยากาศอาจไม่ได้คึกคักเหมือนครั้งแรกนัก มี ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีจาก ครม. เศรษฐา เพียงคนเดียวที่เลือก ‘นายใหญ่’ และลาการประชุม ครม. ในบ่ายวันนี้ (3 มีนาคม) ก่อนที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะบินออกไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศยาวนานถึง 11 วัน
ส่วน พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้องชายร่วมสายเลือดตระกูลวงษ์สุวรรณ และ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้มาร่วมกิจกรรมพลังประชารัฐสัญจรในครั้งนี้ โดยปรากฏตัวในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางกระแสร้อนกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนของ 2 กระทรวง
แต่ก็ยังมีแกนนำคนอื่นๆ ทั้ง ไพบูลย์ นิติตะวัน, ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, ตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค, วราเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการพรรค, บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรรมการบริหารพรรค, พล.อ. ณัฐ อินทรเจริญ กรรมการยุทธศาสตร์พรรค อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม รวมถึง สส. ทั้ง 40 คนเข้าร่วมอย่างไม่แตกแถว
พล.อ. ประวิตร ปรากฏตัวด้วยการแต่งตัว ‘สไตล์จัดจ้าน’ ในธีมวันอาทิตย์สีแดง
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567
พล.อ. ประวิตร ปรากฏตัววันนี้ด้วยการแต่งตัว ‘สไตล์จัดจ้าน’ ในธีมวันอาทิตย์สีแดง โดยทั้งเสื้อเชิ้ต เสื้อแจ็กเก็ต กางเกงสแล็ก ถุงเท้า รองเท้า ก็ล้วนเป็นสีแดงทั้งสิ้น นอกจากนั้น ‘แหวนทับทิมล้อมเพชร’ ที่สวมที่นิ้วนางข้างซ้ายก็ยังเป็นสีแดงอีกด้วย
สำหรับกำหนดการพลังประชารัฐสัญจรในครั้งนี้ พล.อ. ประวิตร จะเป็นประธานกล่าวเปิดงานเวทีรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของชาวหนองคาย จากนั้นเดินเยี่ยมชมผลงานเรื่องที่ดิน น้ำ และกีฬา ต่อด้วยชมการลงทะเบียนของเกษตรกรเพื่อเปลี่ยน ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดที่ดินเพื่อการเกษตร รวมถึงเดินทางไปพบปะ ‘สอนไซ สีพันดอน’ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีวาระสำคัญคือการแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่น
ตอบก้าวไกล “อยากเจอให้มาหาที่บ้าน”
พล.อ. ประวิตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตอนหนึ่ง ถึงกรณี สส. ฝ่ายค้านได้เรียกร้องให้เดินทางไปเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะครับ ผมจะไปหรือไม่ไป แล้วมันผิดหรือเปล่าล่ะ”
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า สส. พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายถามหาในการประชุมสภา พล.อ. ประวิตร ตอบว่า “ถามทำไมล่ะ ถ้าอยากมาหาก็มาหา มาหาที่บ้าน”
แต่ พล.อ. ประวิตร ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงการเดินทางไปเยี่ยม ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หลังจากได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยกล่าวเพียง “ถามอะไรก็ไม่รู้”
พบนายกฯ สปป.ลาว ถกแก้ฝุ่น PM 2.5
จากนั้นช่วงบ่าย พล.อ. ประวิตร พร้อมคณะของพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางจากด่านชายแดนฝั่งไทยข้ามสะพานไทย-ลาว ไปยังทำเนียบรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อพบปะ ‘สอนไซ สีพันดอน’ นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้การต้อนรับ
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพลังประชารัฐ จับมือ สอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในโอกาสเยือน สปป.ลาว เป็นการส่วนตัว เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567
พล.อ. ประวิตร ได้หารือกับ ‘สอนไซ’ ว่า สปป.ลาว และประเทศไทยมีความสัมพันธ์เป็นบ้านพี่เมืองน้องมาช้านาน ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามาตามลำดับ โดยไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือกับ สปป.ลาว ทุกๆ ภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง
ในโอกาสนี้ ผมขอแสดงความยินดีในการทำหน้าที่ประธานอาเซียนของ สปป.ลาว ในปี 2567 นี้ โดยตนเองพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ที่จะพัฒนาความร่วมมือในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
“การเดินทางมาเยือน สปป.ลาว ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่จะได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน ในการพัฒนาความร่วมมือด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต เพื่อรองรับการพัฒนา และการส่งเสริมด้านเกษตรกรรม การสาธารณสุข การท่องเที่ยว และการค้าในภูมิภาค ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายสำคัญในการดูแลรักษาป่าไม้และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาฝุ่นควันซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่เราจะต้องร่วมมือกัน”
พล.อ. ประวิตร ยังกล่าวด้วยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ สปป.ลาว ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ทั้งการป้องกันควบคุมมลพิษการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการจัดการสภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยและ สปป.ลาว ต่างมุ่งเน้นยกระดับการดำเนินการในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยฝ่ายไทยยินดีสนับสนุนและแลกเปลี่ยนเชิงนโยบายร่วมกันให้ทั้งสองฝ่ายสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ขณะที่นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้กล่าวยินดีต้อนรับคณะพรรคพลังประชารัฐ ที่นำโดย พล.อ. ประวิตร ทั้ง 2 ประเทศอยู่ติดกัน มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน และยังคงเดินหน้าที่จะทำความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การบริการ การท่องเที่ยว คมนาคมของทั้งสองประเทศ
โดย สปป.ลาว มีแนวทางเช่นเดียวกับไทยที่จะพัฒนาสังคมสีเขียวให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแลของพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ได้บริหารราชการผ่านกลไกการทำงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตามรัฐบาล สปป.ลาว พร้อมผลักดันให้เกิดขึ้นในทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการส่งออก และนำเข้าสินค้าเกษตร การควบคุมโรคระบาดในสัตว์ รวมถึงปัญหาหมอกควัน นับเป็นวาระสำคัญของทั้งสองประเทศในการลดปัญหา PM2.5 ที่เป็นทิศทางเดียวกันและร่วมมือแก้ไขปัญหาต่อไป
จากนั้น พล.อ. ประวิตร พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโครงการเวียงจันทน์โลจิสติกส์พาร์ก มีพื้นที่ 3,000 ไร่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีท่าบกท่านาแล้ง นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางด้านธุรกิจระหว่างไทย-ลาว-จีน โดยเฉพาะการทำอุตสาหกรรมในเขตปลอดภาษีหรือฟรีโซน ซึ่งจะทำให้ภาษีนำเข้าและส่งออกเหลือร้อยละ 0 จุดนี้มีการก่อสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์ การค้า การลงทุน การธนาคาร ไฟแนนเชียล อุตสาหกรรมเบาในเขตฟรีโซน รวมไปถึงคลังน้ำมันด้วย
“ผมก็อยู่ในรัฐบาล ทำงานให้ประเทศชาติ”
พล.อ. ประวิตร ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จกิจกรรมพลังประชารัฐสัญจรครั้งที่ 2 และการพบนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นการส่วนตัวว่า ไปเพื่อพูดคุยถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แน่นแฟ้นกันมานาน และพูดคุยเกี่ยวกับ 2 กระทรวงหลักที่พรรคพลังประชารัฐดูแลว่าเราจะทำอย่างไรกันได้บ้าง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งปัญหาที่หนักขณะนี้คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังเร่งดำเนินการอยู่ และยืนยันว่าเป็นการเดินทางไปส่วนตัวในฐานะที่รู้จักกันมานาน ไม่ได้เป็นทางการ
พล.อ. ประวิตร ให้สัมภาษณ์ว่า การเดินทางไปครั้งนี้ไปในฐานะที่พลังประชารัฐได้กำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกระทรวงหลักที่ต้องดูแลเรื่องฝุ่น ถือว่าช่วยกันทำงาน
“ผมก็อยู่ในรัฐบาล แล้วไปทำงานให้ใครล่ะ ก็ทำงานให้กับประเทศชาตินั่นแหละ รวมทั้งให้คุณด้วย” พล.อ. ประวิตร กล่าวทิ้งท้าย
ครม. อนุมัติงบกลาง 272 ล้าน แก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน ลด PM2.5
อย่างไรก็ตามในวันนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงินทั้งสิ้น 272,655,350 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
‘เศรษฐา’ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการอนุมัติงบกลางเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 ว่าขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับ KPI ให้ชัดเจน รวมถึงให้มีการหวังผลมากขึ้น ลดไฟป่าให้น้อยลง และให้รายงานผลทุก 4 ชั่วโมง รวมถึงการใช้จุดความร้อน (Hot Spot) ในอดีตมาเทียบเคียงเพื่อป้องกันสถานการณ์ไฟป่าอย่างรวดเร็วและจริงใจด้วย