×

ต่อให้แพ้ก็ไม่มีวันเสียใจ สิ่งที่สเปอร์สจะได้จากการพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่

07.11.2023
  • LOADING...
Son Heung-min

กล่าวกันว่า นี่อาจเป็นเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ ‘บ้าคลั่ง’ มากที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์

 

5 ประตู, 2 ใบแดง, 9 การตัดสินด้วย VAR และ 1 แฮตทริก เป็นเพียงแค่ตัวเลขส่วนหนึ่งที่สะท้อนความบ้าคลั่งในเกมที่ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม ของเกมมันเดย์ไนต์ในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา

 

แต่หากใครได้ชมเกมนี้ด้วยก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่บ้าคลั่งมากที่สุดจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องตัวเลขสถิติอะไรทำนองนั้นเลย

 

ความบ้าคลั่งที่แท้จริงคือการยืนหยัดอย่างหนักแน่นในความเชื่อของตัวเอง ที่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร สเปอร์สจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบคู่แข่งแค่ไหน แต่ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ไม่คิดที่จะย่อหย่อน (Compromise) ให้กับอะไรทั้งนั้น

 

นั่นทำให้ต่อให้เหลือผู้เล่น 9 คนตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง และเสียกำลังสำคัญไปอีก 2 คนทั้ง เจมส์ แมดดิสัน และ มิคกี ฟาน เดอ เวน แต่สเปอร์สยังคงเล่นอย่างกล้าหาญ

 

ที่ต่อให้สุดท้ายพวกเขาจะพ่ายแพ้ต่อเชลซี ที่มีเจ้านายผู้เป็นที่รักคนเก่าอย่าง เมาริซิโอ โปเชตติโน คุมทัพ อย่างหมดรูป แต่นี่เป็นการพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่ง

 

Mauricio Pochettino ชี้นิ้วไปที่ปากของเขา

 

ก่อนเกมที่ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม จะเริ่มต้นขึ้น หนึ่งในเรื่องที่มีการจับตามองมากที่สุดคือ การกลับมาเยือนทีมเก่าอีกครั้งของ เมาริซิโอ โปเชตติโน ผู้จัดการทีมที่พาสเปอร์สบินได้สูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

 

สูงในระดับที่ครั้งหนึ่งเคยเบียดแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกและไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่แม้ว่าสุดท้ายทุกอย่างจะจบลงด้วยความเศร้าก็ตาม

 

ความดีความชอบของ ‘พอช’ ทำให้เชื่อกันว่าเขาจะเป็น ‘ที่รัก’ ของแฟนสเปอร์สไปตลอด

 

แต่นั่นเป็นเพียงความเชื่อครับ เพราะเมื่อกุนซือชาวอาร์เจนไตน์ตัดสินใจที่จะรับข้อเสนอในการคุมทีมเชลซี ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นคู่แค้นสายตรงเหมือนอาร์เซนอล ที่ฟัดกันจนนอร์ทลอนดอนลุกเป็นไฟ แต่ทีมจากเวสต์ลอนดอนเองก็ถือเป็นคู่แข่งในการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในเมืองหลวงของอังกฤษ

 

นั่นทำให้แฟนสเปอร์สบางส่วน (Not All!) มองว่าโปเชตติโนหักหลังความรู้สึกของพวกเขา และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำใจยอมรับได้

 

เรื่องนี้เมื่อมารวมกับการที่ทีม ‘ดอกลิลลี่สีขาว’ (หนึ่งในสมญาของสเปอร์ส) กำลังไปได้สวยภายใต้การนำของ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ผู้จัดการทีมที่มาด้วยสถานะตัวเลือกคนสุดท้าย แต่พาทีมขึ้นหัวตารางพรีเมียร์ลีกได้ด้วยการเล่นแบบมีสไตล์

 

ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากแฟนสเปอร์สจะปันใจอย่างรวดเร็ว

 

และความรู้สึกนั้นได้รับการตอกย้ำมากขึ้นไปอีกหลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายในสนาม

 

‘พอช’ นำเชลซีบุกมาถล่มทีมเก่าของเขาได้ถึง 4-1 ก็จริง แต่ผู้ชนะในใจของแฟนบอลสเปอร์ส – และอาจรวมถึงแฟนบอลอีกหลายทีม – คือ ‘แอนจ์’

 

ในเกมสุดดราม่าที่ VAR ต้องทำหน้าที่อย่างเข้มข้นช่วยตัดสินถึง 9 เหตุการณ์นั้น ปอสเตโคกลูแสดงให้เห็นถึงความบ้าเลือดของเขาที่จะไม่ยอมย่อหย่อนผ่อนตามใคร ด้วยการยืนหยัดในแผนการเล่นเดิม

 

ผู้ตัดสินชูใบแดงให้กับผู้เล่นสเปอร์ส

 

เพิ่มเติมคือเหลือผู้เล่นค่อยๆ น้อยลงจาก 11 เป็น 10 คนเมื่อ คริสเตียน โรเมโร ถูกใบแดงโดยตรงจากจังหวะเข้าสกัดบอลใส่ เอนโซ เฟร์นานเดซ ที่แม้จะเข้าบอลก่อน แต่จังหวะต่อเนื่องปลายสตั๊ดนั้นย่ำลงไปที่ข้อเท้าของคู่แข่ง

 

และเหลือ 9 คนในช่วงต้นครึ่งหลัง เมื่อ เดสทินี อูโดกี ซึ่งความจริงก็มีจังหวะจวนเจียนจะโดนไล่ออกตั้งแต่ครึ่งแรกในจังหวะกระโดดเสียบสองขาใส่ ราฮีม สเตอร์ลิง สุดท้ายมาโดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดง ไล่ออกจากสนามไปอีก

 

ในสถานการณ์นั้น สกอร์ระหว่างทั้งสองทีมยังเสมอกันที่ 1-1 ที่ชวนให้คิดว่าแอบคล้ายคลึงกับในเกมที่สเปอร์สเจอกับลิเวอร์พูลเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกมนั้นฝ่ายทีมเยือนจากเมอร์ซีย์ไซด์ก็เหลือผู้เล่น 9 คนเหมือนกัน เมื่อ เคอร์ติส​ โจนส์ โดนใบแดงโดยตรงในจังหวะการเข้าสกัด อีฟส์ บิสซูมา ซึ่งคล้ายๆ กับที่โรเมโรโดน  และ ดีโอโก โชตา โดนสองใบเหลืองในเวลาอันรวดเร็ว (โดยทั้งสองใบมาจากการเข้าสกัดอูโดกี!)

 

หลายคนแอบคิดว่า ‘กรรม’ ตามทันหรือเปล่า? จริงๆ แล้วมันเป็นวิถีและสไตล์ของสเปอร์สที่ปูทางกันมาแบบนี้ เลือกจะเล่นแบบนี้

 

ในวันนั้น เจอร์เกน คล็อปป์ เลือกที่จะปรับแผนมาใช้การอุดแหลกไม่ให้เสียประตูไปก่อน ซึ่ง 9 คนของลิเวอร์พูลสู้ได้อย่างน่าประทับใจ และเกือบจะเก็บ 1 แต้มโคตรสำคัญกลับบ้านมาได้แล้ว แต่มาเสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้ายจากการสกัดบอลเข้าประตูตัวเองของ โจเอล มาติป เสียก่อน

 

วันนี้ปอสเตโคกลูก็ควรจะเลือกทำในแบบเดียวกัน รักษาสิ่งที่มีเอาไว้ก่อนคือสกอร์ ต่อให้ไม่ได้ก็ขอไม่เสีย

 

แต่กุนซือชาวออสเตรเลียกลับสั่งให้สเปอร์สเล่นแบบเดิม เหมือนเดิม โดยเฉพาะเกมรับที่ใช้การยืนสูง (High-Line)

 

หลังอูโดกีโดนใบแดง ปอสเตโคกลูสั่งเน้นให้ เอริค ไดเออร์ และ ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบียร์ ที่ลงสนามมาดันไลน์ของเกมรับไปให้ถึงกลางสนาม เพื่อบีบพื้นที่ในการเล่นของเชลซีให้ได้มากที่สุด

 

 

มันเป็นคำสั่งที่บ้าคลั่งอย่างมาก เพราะด้วยตัวผู้เล่นที่น้อยกว่าถึงสองคน ในเกมระดับสูงขนาดนี้ หมายถึงการที่สเปอร์สพยายามยืนหยัดที่จะต่อสู้ ทั้งๆ ที่เหลือแขนและขาข้างเดียว

 

ต่อให้ว่าจะต้องตายก็ตาม

 

ปรากฏว่าลูกทีมสเปอร์สของเขาก็เล่นกันได้ดีด้วย ไม่เพียงแค่ต้านทาน แต่ยังสู้กันได้สนุกอยู่พักใหญ่ กว่าที่เชลซีจะค้นพบวิธีในการเอาชนะแผนนี้ได้ โดยในนาทีที่ 68 มาร์ค คูคูเรญา วิ่งสอดจากข้างหลังและได้หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่ยิงไม่ผ่านเซฟของวิคาริโอ

 

จังหวะนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยแล้ว แต่ปอสเตโคกลูยังยืนยันที่จะให้ทีมเล่นแบบเดิม เรียกไดเออร์มาเพื่อย้ำว่าให้เขาและฮอยเบียร์พยายามดันขึ้นให้ถึงเส้นกลางสนามเหมือนเดิม

 

แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถหยุดเชลซีได้ไหว นิโคลัส แจ็คสัน กองหน้าที่ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงแค่ 2 ประตู มาทำคนเดียว 3 ประตูในช่วง 12 นาทีสุดท้ายของเกม ทำให้เชลซีเป็นทีมแรกที่ยัดเยียดความปราชัยแบบไม่เต็มใจให้กับสเปอร์สได้สำเร็จ

 

โปเชตติโนชนะในเกม สยบทีมเก่า ได้หายใจคล่องขึ้นอีกหน่อย หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วแพ้เบรนท์ฟอร์ดคาบ้าน

 

แต่ปอสเตโคกลูชนะในใจ

 

คำว่าชนะใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การเล่นอย่างกล้าหาญจนชนะใจแฟนบอลตัวเองเท่านั้น แต่มันเป็นชัยชนะของจิตใจที่ยืนหยัดอย่างหนักแน่นต่อหลักการ โดยที่จะไม่ยอมจำนนต่อสิ่งใด

 

การตัดสินใจของเขาอยู่บนตรรกะที่ยากจะเข้าใจ หรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือ ไม่มีใครเข้าใจทั้งนั้น เพราะนี่คือเกมการแข่งขัน และผลการแข่งขันคือสิ่งที่ทีมต้องการ

 

Ange Postecoglou เดินปรบมือ

 

แต่สำหรับปอสเตโคกลู วันนี้ผลการแข่งขันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการที่สุด เพราะสิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือการพิสูจน์ให้ลูกทีมเห็นไปเลยว่า นี่คือ ‘Angeball’ นี่คือฟุตบอลในแบบของเขาที่อยากเห็นในทีมสเปอร์ส ฟุตบอลในแบบที่กล้าหาญและมีหัวใจ

 

เขาเคยทำแบบนี้มาแล้วเมื่อครั้งคุมทีมบริสเบน โรร์ และกลาสโกว์ เซลติก ที่เคยแพ้ขาดลอยในช่วงแรกของการเข้ามาคุมทีม แต่สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนในทีมได้คือความเข้าใจและการเชื่อใจในตัวของผู้จัดการทีมอย่างเขา

 

เมื่อเข้าใจและเชื่อใจ ทุกคนก็พร้อมจะไปด้วยกันจนสุดทาง ซึ่งในทีมบริสเบนกับเซลติกจบลงด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ได้

 

ดังนั้นเมื่อนักข่าวพยายามถามปอสเตโคกลูว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม?

 

คำตอบที่ได้มันอาจจะฟังดูเท่ๆ หน่อย “ไม่มีอะไร ก็แค่เราเป็นคนแบบนี้ ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะทำแบบนี้ต่อไป ต่อให้เหลือแค่ 5 คนเราก็จะเล่นแบบนี้”

 

แต่ความหมายลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในนั้นมันได้ถูกส่งต่อไปถึงนักเตะสเปอร์ส รวมถึงแฟนบอลทุกคน ที่ต่อให้คนอื่นจะไม่เข้าใจก็ไม่สำคัญ

 

แม้ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า Angeball จะพาสเปอร์สไปได้ไกลถึงไหน แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทีมพร้อมจะตามเขาไปทุกที่อย่างแน่นอนครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X