เคยได้ยินไหมว่าบิตคอยน์สามารถหามาได้จากการขุด แล้วการขุดบิตคอยน์เขาทำกันอย่างไร มีหลักการเช่นไร เราจะมาอธิบายให้เข้าใจถึงแนวคิดของการขุดบิตคอยน์แบบง่ายๆ ไปด้วยกันในบทความนี้!
หลักการทำงานของบิตคอยน์
บิตคอยน์เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเหมือนสกุลเงินทั่วไป แต่สิ่งที่บิตคอยน์แตกต่างคือมันไม่มีตัวกลางที่คอยจดบันทึกธุรกรรม เราเรียกรูปแบบนี้ว่า Decentralized หรือการกระจายศูนย์ ในขณะที่สกุลเงินทั่วไป (Fiat Money) มีตัวกลางที่คอยบันทึกธุรกรรม ซึ่งในที่นี้คือธนาคารกลางหรือรัฐบาล เรียกว่า Centralized หรือการรวมศูนย์
ระบบ Centralized ที่มีตัวกลางคอยบันทึกธุรกรรมเป็นการมอบอำนาจอันเด็ดขาดให้กับตัวกลาง ซึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหาอย่างการทุจริต ซาโตชิ นากาโมโตะ จึงสร้างบิตคอยน์ขึ้นมาเพื่อเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีความ Decentralized ด้วยหลักการที่สร้างสรรค์อย่างมาก นั่นก็คือการให้ผู้ที่อยากบันทึกธุรกรรมต้องมาแข่งขันกันเพื่อชิงสิทธิ์ในการเพิ่มข้อมูลธุรกรรมชุดต่อไปลงบนเครือข่ายของบิตคอยน์ ซึ่งเราจะมาอธิบายให้เข้าใจกันในหัวข้อถัดไป
ความหมายของการขุดบิตคอยน์
เครือข่ายของบิตคอยน์คือ Blockchain ที่เป็นการเก็บข้อมูลแบบ Decentralized โดยทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย (เรียกว่า Node) นับล้านเครื่องทั่วโลกจะเก็บข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดตั้งแต่ธุรกรรมแรกจนถึงล่าสุด และมีการตรวจสอบให้ข้อมูลทุกเครื่องตรงกันอยู่เสมอ นั่นจึงทำให้การปลอมแปลงข้อมูลเพียงไม่กี่เครื่องในเครือข่ายไม่สามารถทำอะไรกับเครือข่ายได้
การขุดบิตคอยน์จะเข้ามามีบทบาทเมื่อมีธุรกรรมชุดใหม่เกิดขึ้นในเครือข่าย ธุรกรรมชุดใหม่จะถูกประกาศเข้าไปในเครือข่ายในรูปแบบของการเข้ารหัส (Encryption) เครื่องที่จะมีสิทธิ์อัปเดตข้อมูลบน Blockchain และรับรางวัลเป็นบิตคอยน์จะต้องแข่งกัน ‘เดา’ ตัวเลขเพื่อเติมสมการและไขรหัสให้ถูกต้องก่อนเครื่องอื่น โดยเราจะเรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เข้ามาแข่งกันเดาตัวเลขนี้ว่า ‘นักขุด’ (Miner)
การเดาตัวเลขในที่นี้ก็คือการขุด (Mining) ซึ่งเป็นการใช้พลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์เพื่อเดาตัวเลขออกมานับล้านชุดภายในเวลาเสี้ยววินาที จำนวนของตัวเลขที่คอมพิวเตอร์สามารถเดาออกมาได้จะขึ้นอยู่กับพลังประมวลผล หรือ Hashrate ของแต่ละเครื่อง หมายความว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงก็จะมีโอกาสเดาตัวเลขได้สำเร็จก่อนเครื่องอื่น
ระบบดังกล่าวเรียกว่า Proof-of-Work หรือการพิสูจน์ด้วยการลงแรง เพื่อให้เครือข่ายสามารถหาข้อตกลงกันได้ว่านักขุดได้ลงแรงผ่านการประมวลผลแล้ว จึงมีสิทธิ์ที่จะเพิ่มข้อมูลชุดใหม่เข้าไปใน Blockchain ได้ นอกจากนี้การที่ระบบนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการขุด เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มบิตคอยน์เหรียญใหม่เข้าไปในเครือข่ายเหมือนกับการขุดทองคำที่จะเป็นการทองคำก้อนใหม่เข้าไปในตลาดนั่นเอง
วิวัฒนาการของการขุดบิตคอยน์
เพื่อรักษาความสมดุลของจำนวนบิตคอยน์ใหม่ที่จะถูกเพิ่มเข้ามาในระบบ นากาโมโตะจึงสร้างเครือข่ายบิตคอยน์ขึ้นมาโดยฝังชุดคำสั่งให้เครือข่ายทำการปรับ ‘ความยาก’ ของการเข้ารหัสให้สอดคล้องกับพลังประมวลผลโดยรวมของทั้งเครือข่าย หมายความว่ายิ่งมีนักขุดมากเท่าไร ความยากในการขุดก็จะสูงขึ้นเท่านั้น
ในช่วงแรกที่บิตคอยน์ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2008 ยังมีจำนวนนักขุดไม่มากนัก ความยากของการขุดจึงไม่สูงมาก นักขุดสามารถใช้ CPU ของแล็ปท็อปขุดบิตคอยน์ได้สบายๆ
ต่อมาเมื่อมีนักขุดเพิ่มเข้ามามากขึ้น การแข่งขันจึงยิ่งสูงขึ้น ทำให้มีการนำ GPU ที่เป็นหน่วยประมวลผลกราฟิกของคอมพิวเตอร์มาขุดบิตคอยน์ เนื่องจาก GPU สามารถทำ Hashrate ได้มากกว่า CPU หลายสิบเท่า นี่จึงเป็นสาเหตุที่ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นไป เราอาจได้เห็นข่าว GPU ขาดตลาดเป็นบางช่วง
สรุป
การขุดบิตคอยน์ก็คือการ ‘เดา’ ชุดตัวเลขเพื่อแก้สมการทางคณิตศาสตร์ให้สำเร็จก่อนนักขุดคนอื่นในเครือข่าย หากเดาถูกก่อนก็จะมีสิทธิ์ในการเพิ่มข้อมูลธุรกรรมชุดใหม่ลงไปในเครือข่าย และรับรางวัลเป็นบิตคอยน์เหรียญใหม่ที่ยังไม่มีในระบบ
พลังประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์มีผลต่อการขุดค่อนข้างมาก ยิ่งมีพลังประมวลสูงก็จะสามารถเดาตัวเลขได้เยอะขึ้นภายในเวลาที่เท่ากัน โอกาสที่จะเดาถูกจึงเยอะขึ้น จึงเกิดเป็นการแข่งขันกันภายในเครือข่าย
อย่างไรก็ตาม ทั้ง CPU และ GPU ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ขุดบิตคอยน์ตั้งแต่แรก จึงเริ่มมีการคิดค้นอุปกรณ์สำหรับการขุดโดยเฉพาะ นั่นคือ ASIC ที่ย่อมาจาก Application-specific Integrated Circuit ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากเหล่านักขุดรายใหญ่ และกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการขุดบิตคอยน์
สำหรับนักขุดรายย่อยที่อยากขุดบิตคอยน์ แต่ไม่มีเงินลงทุนซื้ออุปกรณ์เฉพาะทาง ก็สามารถเข้าร่วม Mining Pool ที่เป็นการรวมกลุ่มกันของนักขุดรายย่อยเพื่อนำพลังประมวลผลมารวมกันให้สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ แต่รางวัลที่ได้จากการขุดก็จะถูกหารแบ่งออกไปตามจำนวนนักขุด
หรือง่ายกว่านั้นคือการใช้บริการกระดานซื้อขายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่าง Bitkub เป็นต้น
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: Investopedia, 99Bitcoins, Paxful