×

ศึกนอก ศึกในล้อมไทย! ชายแดนไทย-กัมพูชา ดีลภาษีสหรัฐฯ กดดันเศรษฐกิจไทยจะเดินเกมอย่างไร?

30.07.2025
  • LOADING...

เส้นตายการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ วันที่ 1 ส.ค. อาจเป็นจุดเปลี่ยน การเดิมพันเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกันปัญหา ‘ชายแดนไทย-กัมพูชา’ ที่ร้อนระอุ กลายเป็นเงื่อนไขที่ไทยอาจถูกใช้เป็นเกมต่อรองเจรจาภาษีสหรัฐ

 

เมื่อทรัมป์ที่ประกาศว่า หากไทยและกัมพูชาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ภายในเวลาอันจำกัด สหรัฐจะไม่พิจารณาเปิดเจรจาลดภาษีให้กับไทย

 

 

นอกเหนือจากมิติการทหารและการเมืองแล้ว ภาคธุรกิจต่างเฝ้าจับตามิติเศรษฐกิจ อย่างใกล้ชิด เพราะหากไทยไม่สามารถเจรจาลดภาษีสหรัฐได้ทัน ผลกระทบหนักจะตกไปอยู่ที่ภาคการส่งออก ธุรกิจ SME จะเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกแสนล้านบาท ให้กับประเทศที่เก็บภาษีต่ำกว่าอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย

 

ยังไม่นับรวมมรสุมปัญหาที่ไทยยังคงเผชิญเชิงโครงสร้าง การท่องเที่ยว หนี้ครัวเรือน ดังนั้น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องภาษี และชายแดน หากยืดเยื้ออาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาโลก

 

ส.อ.ท. ลุ้น ทรัมป์ให้ ‘รางวัลพิเศษ’ ภาษีไทยต่ำ 19-20% เหตุทำตามสัญญาหยุดยิงชายแดนกัมพูชา

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ถึงความกังวล แนวโน้มการเจรจาภาษีการค้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะครบกำหนดวันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยมองว่าสถานการณ์ของประเทศไทยมีความพิเศษและแตกต่างจากประเทศอื่นๆ

 

“เนื่องจากบทบาทสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา”

 

เกรียงไกร ชี้แจงว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าจะยังไม่มีการเจรจาเรื่องภาษี จนกว่าการปะทะหรือความขัดแย้งบริเวณชายแดนจะยุติลง ทำให้เกิดการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นตัวกลางในการเจรจา และได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

 

อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงโดยหยุดยิงทันทีเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม แต่ทางฝ่ายกัมพูชายังคงมีการยิงอย่างต่อเนื่องจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

 

ลุ้น 2 แนวโน้มเป็นบวกหลังเจรจาภาษีสหรัฐฯ

 

เกรียงไกร กล่าวต่อว่า รองนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งว่าสหรัฐฯ ได้เห็นถึงความตั้งใจของไทยในการปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจรจาภาษีที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นประเมินว่ามีความเป็นไปได้ 2 กรณี ดังนี้

 

1. ประกาศผลก่อน 1 สิงหาคมนี้ เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนกำหนดเส้นตาย หากการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี สหรัฐฯ อาจจะประกาศผลก่อนวันที่ 1 สิงหาคม

 

2. เลื่อนกำหนดเวลาสำหรับไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากกรณีของไทยเป็นกรณีพิเศษที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาเป็น คนกลางไกล่เกลี่ยเอง และรับทราบว่าไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด สหรัฐฯ อาจพิจารณาเลื่อนกำหนดเวลาสำหรับประเทศไทยออกไป เพื่อให้มีเวลาในการเจรจามากขึ้น

 

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ยังคงคาดหวังว่าผลการเจรจาจะออกมาดี โดยคาดว่าอัตราภาษีของไทยจะอยู่ที่ประมาณ 19-20% ซึ่งจะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ที่ได้อัตรา 20%, อินโดนีเซีย ที่ได้อัตรา 19%, ฟิลิปปินส์ 19% และมาเลเซีย ที่ได้อัตรา 25%

 

 

หวัง ‘ทรัมป์’ เคาะภาษีต่ำกว่า 19-20%

 

เกรียงไกร ระบุต่อว่า ยังมีความหวังว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพิจารณาให้ ‘รางวัลพิเศษ’ ให้กับประเทศไทย ด้วยการลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอีก เนื่องจากไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือและรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัด

 

เกรียงไกร ย้ำว่า ส.อ.ท. ยังคงคาดหวังว่า ไทยจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 36% อย่างแน่นอน และเชื่อว่าการที่ไทยแสดงความน่าเชื่อถือนี้จะช่วยเพิ่มแต้มต่อในการเจรจาได้อย่างมาก ตรงกันข้ามกับกัมพูชาที่ยังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะพิจารณาในอีกมุมมองหนึ่ง

 

“ตอนนี้เชื่อว่าไทยจะได้ภาษีต่ำกว่า 36% ดังนั้น คาดมูลค่าเสียหายจากการขึ้นภาษีดังกล่าว ราว 8-9 แสนล้านบาทที่เคยประเมินไว้จะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งหากภาษีที่ไทยได้เหลือ 19-20% เชื่อว่าเราจะไม่เสียหายเท่าไร เพราะถือว่าใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค” เกรียงไกรกล่าว

 

หวั่นเหตุปะทะชายแดน ซ้ำเติมเศรษฐกิจ

 

สำหรับประเด็นความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการค้าชายแดน โดยประเมินว่ากรณีที่มีการปิดด่านถาวรทั้งหมด 6 ด่าน มูลค่าความเสียหายจะสูงถึงประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน

 

โดยเป็นมูลค่าการส่งออกของไทยประมาณ 400 ล้านบาท และการนำเข้าจากกัมพูชาประมาณ 100 ล้านบาท

 

ขณะที่ในสถานการณ์ความตึงเครียดปัจจุบัน ด่านชายแดนหลายแห่งได้หยุดการดำเนินการลง การขนส่งสินค้าทางเรือก็ลดลงเช่นกัน และแม้จะมีการหาช่องทางอ้อมผ่านประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ หรือเวียดนาม แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมากและความเข้มงวดในการผ่านแดน

 

ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจไม่กล้าเดินทางมาไทยและกระทบต่อ GDP นั้น เกรียงไกร มองว่า

 

“ผลกระทบจะจำกัดอยู่ในวงแคบ โดยส่วนใหญ่จะกระทบกับการท่องเที่ยวบริเวณชายแดนที่มีแหล่งโบราณสถานสำคัญ ซึ่งนักท่องเที่ยวอาจลดลงในช่วงสั้นๆ แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวทั้งประเทศ เนื่องจากเหตุการณ์ยังจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดนเท่านั้น”

 

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ความขัดแย้งบานปลาย และมีการใช้อาวุธระยะไกล เช่น เครื่องยิงจรวดที่ยิงได้ไกลถึง 130 กิโลเมตร ยิงเข้ามาในพื้นที่ลึกของไทย อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยวและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

 

แนะรัฐบาลตั้งรับ อัดเม็ดเงินเศรษฐกิจ เยียวยาผู้ส่งออก

 

เกรียงไกร กล่าวว่า ข้อเสนอแนะในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มีการเสนอต่อรัฐบาลไปตั้งแต่ต้นแล้ว โดยเฉพาะมาตรการด้านการเงินและการคลังที่จำเป็นต้องดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อรับมือกับกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลงและปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องภาษีการค้าของทรัมป์

 

ปัจจุบัน ปัจจัยที่ ส.อ.ท. และภาคเอกชนกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือ ตัวเลขภาษีที่สหรัฐฯ จะประกาศออกมา หากผลการเจรจาเป็นบวกและไทยได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น หากลดลงมาถึง 15% เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตสินค้าหลัก ก็จะเป็นผลดีอย่างมากต่อภาคการส่งออกของไทย

 

“แต่ในทางตรงกันข้าม หากอัตราภาษีของไทยยังคงสูงถึง 36% และไม่ได้รับการลดหย่อน รัฐบาลจะต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และจัดหาแพ็กเกจช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยใช้เงินสนับสนุนตามความเหมาะสม”

 

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้เสนอแนวทางต่างๆ ไปแล้ว และขณะนี้ก็รอเพียงแค่ผลการประกาศตัวเลขภาษีเท่านั้น ที่จะบอกถึงทิศทางและขนาดของมาตรการที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการต่อไป

 

 

หอการค้าฯ จับตาเส้นตายภาษี 1 สิงหาคม ชี้สหรัฐอเมริกา คือหุ้นส่วนสำคัญเศรษฐกิจไทย

 

ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “แม้สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจะเพิ่งคลี่คลาย และนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงแต่ภาคเอกชนขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดเจรจาทางเศรษฐกิจในทุกกรอบ โดยเฉพาะประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ที่มีเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม อยู่เบื้องหน้า”

 

โดยเชื่อมั่นว่าข้อเสนอของฝ่ายไทยในครั้งนี้มีความเหมาะสม สมดุล และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน จึงอยากขอให้ฝ่ายเจรจาไทยเร่งหาข้อสรุปอัตราภาษีจากสหรัฐอย่างเป็นธรรมโดยด่วนเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจหลังจากเส้นตาย

 

“ภาคเอกชนไทยยังมีความเชื่อมั่นว่า สหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย จะพิจารณานโยบายด้านภาษี การค้า และการลงทุนกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาคนี้อย่างเป็นธรรม”

 

ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการเจรจาหยุดยิงของไทยและกัมพูชา นี้จะนำไปสู่การลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน และเปิดทางให้ทั้งสองประเทศเดินหน้าเข้าสู่การหารือในกรอบของความร่วมมือเพื่อสันติภาพและการเคารพซึ่งกันและกันในด้านอธิปไตย

 

แม้ว่าจะยังมีความไม่ไว้วางใจและข้อกังวลจากฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง แต่ภาคเอกชนไทยขอสนับสนุนให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทน อดกลั้น และดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ภายใต้กลไกความร่วมมือของอาเซียน

 

อย่างไรก็ตาม การหารือภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ณ ประเทศกัมพูชา จะเป็นอีกก้าวที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศ และนำไปสู่แนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืนต่อปัญหาที่ค้างคา

 

สรท. แนะรัฐบาลใช้ประเด็นขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นข้อต่อรองภาษี

 

 

ขณะที่ ธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ยอมรับว่ามีความกังวลต่อการเจรจา Reciprocal Tariff ระหว่างไทยและสหรัฐฯ โดยระบุว่าผู้ประกอบการประเมินโอกาสของการเจรจาครั้งนี้ไว้ที่ 50% เท่ากัน ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีขึ้นใกล้เคียงกับคู่แข่งทางการค้าที่ 19-20% หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจโดนอัตราภาษีสูงถึง 36%

 

ธนากร ย้ำว่า สรท. ได้เตรียมการรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแล้ว และได้เสนอความคิดเห็นไปยังทีมเจรจาของไทยว่า เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความตั้งใจที่จะไม่เจรจากับไทยและกัมพูชา จนกว่าข้อขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาจะยุติลง

 

สรท. จึงเสนอให้รัฐบาลไทยใช้โอกาสนี้ในการขอให้สหรัฐฯ ยกเว้นไทยและกัมพูชาออกจากการบังคับใช้ Executive Order ที่จะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และขอให้คงอัตราภาษีมาตรฐานที่ 10% ไปก่อน

 

“ถ้าสหรัฐฯ ไม่สามารถประกาศหรือตกลงเรื่องภาษีใหม่กับไทยได้ และทรัมป์มีความตั้งใจที่จะให้เรื่องข้อขัดแย้งชายแดนจบลงก่อน ก็ไม่ควรยืดเยื้อการเจรจาภาษีออกไป ดังนั้น เราจึงให้ความคิดเห็นไปว่า ลองนำเสนอไปสหรัฐฯ ได้ไหม เพราะเป็นความตั้งใจของทรัมป์ที่จะมาสนใจตรงเรื่องความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา” ธนากร กล่าว

 

ข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกนำเสนอไปเมื่อทรัมป์ได้แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียของเขา โดย สรท. มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะดึงเรื่องภาษีของไทยและกัมพูชาออกไปก่อน

 

สำหรับผลกระทบหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดที่ไทยต้องเสียภาษี 36% จากการค้ากับสหรัฐฯ คิดจากมูลค่าการค้ารวม 2 ล้านล้านบาทต่อปี จะเฉลี่ยเป็นผลกระทบประมาณ 5,479 ล้านบาทต่อวัน

 

อย่างไรก็ตาม ธนากร ชี้แจงว่าไม่ใช่สินค้าทุกรายการที่จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากสหรัฐฯ มีข้อตกลงยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าเฉพาะอย่างกับหลายประเทศอยู่แล้ว เช่น ยางพารา ยางรถยนต์ หรือชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง

 

 

ห่วงอาเซียนตกเป็นเกมต่อรอง ‘จีนและสหรัฐอเมริกา’

 

ด้าน รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจหากไทยและกัมพูชาหาทางออกไม่ได้ แน่นอนว่า บรรยากาศจับจ่ายไม่ดีในช่วง 3 – 6 เดือน ผู้ผลิตไทยที่ส่งออกไปกัมพูชาก็ต้องหาตลาดอื่น สุดท้ายผู้บริโภค ก็ไม่ซื้อของไทย กินของไทย นำเข้าของไทย

 

“ปัญหาที่ตามมาคือกัมพูชาก็จะหันไปค้าขายกับเวียดนาม จีน แทน ท้ายที่สุดคนที่ลำบากคือ ประชาชน เพราะค้าชายแดนปิด คนทำมาหากินไม่ได้ จะคล้ายกับปัญหาเมียนมาที่ไม่พึ่งพาสินค้าไทยแล้ว เพราะความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้น”

 

รศ.ดร.ปิติ มองว่า ทั้ง 2 ประเทศ ไทยและกัมพูชา มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ค้าขายเพื่อนบ้านกันมายาวนาน ในช่วงเวลาที่โลกไม่แน่นอนทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ความท้าทายของเศรษฐกิจ การเมือง ควรจะรวมตัวกันต่อรองในฐานะสร้างความแข็งแกร่งภูมิภาคอาเซียนกับจีนและสหรัฐอเมริกา แต่เหตุการณ์นี้สุดท้ายก็กลับเป็นจุดอ่อน ที่ประชาสังคมโลกต่างจับตามอง

 

หากเจาะข้อมูลค้าชายแดนไทย-กัมพูชา นั้นเปรียบเสมือนท่อน้ำเลี้ยงเศรษฐกิจกว่าแสนล้าน ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ด่าน และมี 1 ด่านเป็นจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว เขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ
ปี 2024 การค้าระหว่างไทยและกัมพูชา มีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 300,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ไทยส่งออกไปกัมพูชาประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 90%
ขณะที่ รศ. ดร. อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกเพิ่ม 4,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 9,000 ล้านดอลลาร์ ราว 3 แสนล้านบาท

 

แต่วันนี้ส่วนแบ่งตลาดถูกจีนและเวียดนามแย่งไป จาก 15% เหลือ 10% หากยืดเยื้อปิดทุกด่านรายได้ไทยจะหายไป 800 ล้านบาทต่อวัน

 

ชี้หากปะทะยืดเยื้อ ไทยอาจสูญเสียตลาดกัมพูชาให้จีน-เวียดนามแบบถาวร

 

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า หากเหตุการณ์ปะทะรุนแรงจนต้องปิดด่านทั้ง 5 แห่ง คาดว่าจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย 1.1 หมื่นล้าน/เดือน และหากเหตุการณ์ยืดเยื้อไปจนถึงสิ้นปีนี้อาจจะสร้างความเสียหาย รวมราว 5.5 หมื่นล้านบาท

 

ทั้งนี้ หากปิดด่านยืดเยื้อนานถึง 1 ปีอาจสร้างความเสียหายถึง 1.7 แสนล้านบาท และไทยอาจสูญเสียตลาดกัมพูชาในบางสินค้าให้จีนหรือเวียดนามแบบถาวร

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising