×

เงินบาทแข็งค่าเท่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้ว น่ากังวลแค่ไหน?

18.03.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 MIN READ
  • ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ล่าสุดกลับไปแข็งค่าแตะระดับก่อนที่ไทยจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาทหรือก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งแล้ว
  • โดยย้อนกลับไปตอนที่ไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate) เงินบาทเทียบกับดอลลาร์อยู่ที่ราว 24-26 บาทต่อดอลลาร์เท่านั้น
  • ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ห่วงเงินบาทที่แข็งค่าอาจซ้ำเติมภาคอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
  • มอง ‘บาทอ่อนค่า’ ดีกว่าบาทแข็งค่า เพราะสุดท้ายไทยยังเป็นประเทศส่งออกสุทธิ และยังเป็นประเทศที่รับรายได้จากการท่องเที่ยว
  • จับตาตอนนี้ประเทศไทยอาจเผชิญกับภาวะ ‘Dutch Disease’ ซึ่งเป็นอาการที่เนเธอร์แลนด์เคยเผชิญเมื่อช่วงปี 1960

ย้อนกลับไปช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate) โดยเงินบาทในช่วงนั้นมีการเคลื่อนไหวอยู่ราว 24-26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามหลังจากถูกโจมตีค่าเงินบาทอย่างหนักจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายครั้ง จนทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศลดลงจาก 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 2.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท กล่าวคือ เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยน ‘ลอยตัวแบบมีการบริหารจัดการ’ (Managed Float) แทน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 ทำให้ค่าเงินบาทหลังจากประกาศ อ่อนค่าลงอย่างหนัก จากราว 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาแตะระดับอ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

 

โดยหลังจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทครั้งนั้น เงินบาทไทย ‘ไม่เคย’ กลับไปแตะระดับ 24-26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอีกเลย

 

 

ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) แข็งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กลับตั้งข้อสังเกตว่า หากมาดูดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งเป็นการเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของไทย พบว่า ตอนนี้เงินบาทของไทย ‘แข็งเกือบเท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง’ แล้ว

 

โดยตามข้อมูลของธปท. แสดงให้เห็นว่า ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 128.30 ซึ่งถือเป็นระดับแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่มิถุนายนปี 1997 ซึ่งอยู่ที่ 135.4 โดยในเดือนดังกล่าวถือเป็นเดือนสุดท้าย ก่อนไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 เวลา 08.30 น.

 

 

เปิดสาเหตุ ทำไมเงินบาทไทยแข็งเมื่อเทียบกับเพื่อน

 

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า โดยปกติแล้วเมื่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า สกุลเงินเอเชียต่างๆ มักจะอ่อนค่าตาม อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD/THB) เริ่มฉีกออกจากดอลลาร์สหรัฐ (DXY) กล่าวคือเมื่อช่วงราว 6 เดือนที่ผ่านมา เมื่อดอลลาร์สหรัฐแข็ง แต่เงินบาทกลับนิ่งๆ หรือรักษาเสถียรภาพไว้ได้ดี เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ

 

“โดยเฉพาะหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดการคาดการณ์มากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่ต้องลดดอกเบี้ยแล้ว ทำให้ดัชนีดอลลาร์ขึ้นไปแตะระดับ 109 ราวเดือนมกราคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เงิน USD/THB กลับมีเสถียรภาพ หรือไม่อ่อนตาม ขณะที่สกุลเงินเพื่อนกลับอ่อนค่าตามดอลลาร์ไปกันหมด” ดร.พิพัฒน์กล่าว

 

 

โดยสาเหตุหลักอาจมาจากช่วงไตรมาสที่ 4 ลากยาวมาถึงไตรมาสที่ 1 เป็นช่วง High Season ของภาคการท่องเที่ยวไทยทำให้มีความต้องการค่าเงินบาทมากขึ้น โดยภาคการท่องเที่ยวของไทยที่เริ่มฟื้นตัวกลับเป็นปกติมากขึ้น ทำให้ไทยเริ่มเกินดุลบัญชีเดินสะพัด หลังจากไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาค่อนข้างยาวในช่วงโควิด

 

นอกจากนี้ค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับทองคำค่อนข้างสูง โดยสูงเป็นอันดับต้นของภูมิภาค กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้นเงินบาทก็จะแข็งค่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคนไทยซื้อขายทองคำค่อนข้างเยอะและมีธุรกรรมเกี่ยวกับทองคำค่อนข้างมาก

 

อีกเหตุผลคือ มีส่วนที่อธิบายไม่ได้ในดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) กล่าวคือมีกระแสเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศไทยที่หาคำอธิบายไม่ได้ว่ามาจากไหน มากขึ้น

 

ดัชนีเงินบาทแข็งมาก น่ากังวลหรือไม่?

 

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า ในมุมหนึ่งการที่ดัชนีค่าเงินบาทกลับไปแข็งเท่าช่วงปี 1997 อาจไม่น่ากังวลเท่าไหร่ เนื่องจากสะท้อนให้เห็นว่า มีคนอยากเอาเงินบาทเข้าประเทศมากกว่าออกจากประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์เตือนว่า ปัจจุบันไทยมีสินค้าหลายประเภทที่กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยเคยทำได้ดีและจ้างงานคนค่อนข้างเยอะ กำลังถูกค่าเงินบาทที่แข็งซ้ำเติม

 

“นอกจากภาคอุตสาหกรรมกำลังเจอกับการแข่งขันจากภายนอก หลังหลายประเทศสามารถขายสินค้าบางอย่างได้ถูกกว่าไทย และการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปเป็นรถ EV ตอนนี้ดัชนีค่าเงินบาทที่กำลังแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ กำลังสะท้อนให้เห็นว่า วันนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาไปด้วย”

 

แม้ดร.พิพัฒน์กล่าวย้ำว่า การแข็งค่าของเงินบาทย่อมมีภาคส่วนที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ แต่หากพิจารณาจากผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม  ดร.พิพัฒน์เชื่อว่า บาทอ่อนดีกว่าบาทแข็ง เพราะว่า สุดท้ายไทยยังเป็นประเทศส่งออกสุทธิ ไทยยังเป็นประเทศที่รับรายได้จากการท่องเที่ยว ดังนั้นบาทอ่อนจะทำให้ไทยมีความสามารถด้านการแข่งขันด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้น

 

จับตา ไทยกำลังเจอ Dutch Disease

 

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้เหมือนประเทศไทยกำลังเจอกับภาวะ ‘Dutch Disease’  ซึ่งเป็นอาการที่เนเธอร์แลนด์เคยเผชิญเมื่อช่วง 1960 หลังเจอแหล่งพลังงานจนทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถขายพลังงาน และนำเงินตราต่างประเทศกลับเข้าประเทศได้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น และทำให้ภาคอุตสาหกรรมเสียความสามารถในการแข่งขันไป หมายความว่า การบูมใน Sector หนึ่งย่อมทำให้ Sector หนึ่งมีปัญหาได้

 

“วันนี้ ภาคการท่องเที่ยวกำลังสร้างรายได้จากต่างประเทศ ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวก็ทำให้ค่าเงินบาทแข็งด้วย จนทำให้กระทบความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมในประเทศ” ดร.พิพัฒน์กล่าว

 

ชมคลิปสัมภาษณ์ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=lxe1qqencO4

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising