ทุกอย่างในโลกย่อมต้องเจอการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยน ผมคิดว่าข้อดีอย่างหนึ่ง การที่คุณรู้ว่างานที่คุณกำลังทำอยู่นั้นกำลังถูกสั่นคลอน อย่างน้อยคุณรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คุณเห็นสัญญาณเตือนก่อนคนอื่น เห็นปัญหาแต่เนิ่นๆ นั่นหมายถึงคุณยังมีโอกาสที่ดีกว่าการที่ไม่รู้อะไรเลย
Q: รู้สึกหมดหวังมากเลยค่ะ ตอนนี้ทำงานอยู่ในสายงานธุรกิจที่กำลังจะถูกดิจิทัล Disrupt ทุกวันทำงานเหมือนรอว่าเมื่อไรบริษัทจะปิด แต่ถ้าปิดแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอะไรต่อ อ่านข่าวดูก็ท้อค่ะเพราะทำอาชีพที่จะถูกหุ่นยนต์แทนที่ได้ในอนาคต ไม่รู้จะอยู่ต่อไปในสายงานนี้ดีหรือว่าจะย้ายไปไหนดี จะทำอย่างไรดีคะ
A: ท้อได้ครับ เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนเคยเจอ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังไปเลยครับ ผมคิดว่าทุกทางเลือกในชีวิตคุณตอนนี้เป็นโอกาสได้หมดเลยนะครับ
ผมแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวให้แล้วกันครับ ผมเคยทำงานนิตยสารมาก่อน เป็นงานที่รักมากและสอนผมหลายอย่างที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ แต่เมื่อยุคนี้ไม่มีนิตยสารกระดาษกันแล้ว ผมก็เข้าใจมันได้นะครับ มันเหมือนกับที่ทุกวันนี้เราไม่ได้ใช้กระดานชนวน เราไม่ได้เขียนหนังสือบนแท่นหินโรเซตตา (Rosetta) กันแล้ว ผมก็ไม่เห็นใครจะฟูมฟายว่า “วงการการเขียนหมดกันแล้วเพราะคนไม่ใช้หินโรเซตตากันแล้ว” การเขียน การถ่ายทอดความคิด การทำหน้าที่สื่อก็ยังอยู่ เพียงแต่มันเปลี่ยนรูปแบบไป และผมก็ยังเขียนอยู่ การรักในการเขียนของผมไม่ได้หายน้อยลงไปเลยเพียงแค่เพราะรูปแบบการเขียนมันเปลี่ยน ผมรักสิ่งที่ผมทำเหมือนเดิมเลย ตัดแขนตัดขาผมก็จะยังเขียน — แต่อย่าตัดจริงนะ ฮ่าๆ
ทุกอย่างในโลกย่อมต้องเจอการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยน ผมคิดว่าข้อดีอย่างหนึ่ง การที่คุณรู้ว่างานที่คุณกำลังทำอยู่นั้นกำลังถูกสั่นคลอน อย่างน้อยคุณรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คุณเห็นสัญญาณเตือนก่อนคนอื่น เห็นปัญหาแต่เนิ่นๆ นั่นหมายถึงคุณยังมีโอกาสที่ดีกว่าการที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน และคุณมีโอกาสที่จะมาคิดว่าจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามานี้อย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ สมมติมีหม้อน้ำร้อนตั้งอยู่ข้างหน้า ระหว่างคนที่รู้ว่ามันร้อนกับคนที่ไม่รู้เลยว่ามันร้อน คุณคิดว่าคนไหนจับหม้อแล้วจะบาดเจ็บมากกว่ากัน แน่นอนคนที่ไม่รู้อะไรเลยคงจับไปเต็มมือ มือพองเละหมด แต่คนที่รู้ว่าหม้อมันร้อนเขาจะหาวิธีจับหม้อน้ำไม่ให้มือพอง หรือถ้าต้องจับมันจริงๆ ก็คงพยายามจับมันแบบเจ็บตัวน้อยที่สุด เช่นเดียวกัน การที่คุณรู้ว่าคุณกำลังเจออะไรอยู่ย่อมดีกว่าคุณไม่รู้อะไรเลย
ทีนี้มาดู ‘หม้อน้ำร้อน’ ของคุณกันบ้าง ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยน และมันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มองในแง่ดี ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้ถึงความไม่คงทนของชีวิต ลองคิดดูนะครับ ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีเรื่องดิสรัปชันเข้ามา เราคงไม่ทันคิดว่างานที่เราทำอยู่จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เราอาจจะทำงานกันอย่างสบาย ไม่ได้รู้สึกว่าต้องระวังอะไรมากมาย แต่พอมีเรื่องดิสรัปชันเข้ามา เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าชีวิตไม่ได้มั่นคงตลอดไป การเปลี่ยนแปลงมันเข้ามาเร็วมาก และเราจะอยู่ได้ก็ด้วยการปรับตัว ไม่ปรับตัวเราก็อยู่ไม่รอด
ข้อดีคือเมื่อคุณอยู่ในสายงานที่กำลังอยู่ในช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ คุณจะได้รู้ไปในตัวว่าธุรกิจของคุณต้องปรับตัวอย่างไร ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้ทุกคนคงกำลังระดมสมองช่วยกันคิดอยู่ว่าจะปรับตัวให้อยู่รอดกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ในมุมหนึ่งคือคุณกำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์เลยนะครับ ซึ่งแน่นอนครับว่ามันมีทั้งคนที่พ่ายแพ้ต่อการปรับตัว คนที่ปรับตัวไม่ได้ คนที่ปรับแล้วแต่ปรับไม่ทันหรือปรับไม่ถูกจุด และคนที่ปรับตัวได้และหาทางเจอเสียทีว่าจะมีที่ยืนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร เพราะฉะนั้น มองไปรอบๆ คุณจะมีทั้งเคสที่ประสบความสำเร็จและเคสที่ล้มเหลวให้เห็นอยู่ตลอด ผมว่าช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เราจะได้บทเรียนอะไรเยอะเลย เป็นกำไรชีวิตของเรามากๆ และสุดท้ายถ้าเราไม่ปล่อยให้บทเรียนนี้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เราจะสามารถนำมันมาใช้ได้หมด ไม่เฉพาะเรื่องงานนะครับ แต่นำไปใช้กับชีวิตเราได้ทุกเรื่องเลย และเราจะรู้ว่าเราประมาทกับชีวิตไม่ได้อีกแล้ว
ผมคิดว่าไม่มีเวลาไหนที่คนในองค์กรของคุณจะต้องการความสามัคคีหรือการผนึกกำลังกันเท่าเวลานี้แล้ว วิกฤตมันสร้างให้คนมารวมพลังกันได้เหมือนกันนะครับ เพราะถ้าไม่จับมือร่วมกันสู้แล้วคงรอดยาก ในแง่ดี ถ้าองค์กรสร้างความรู้สึกให้พนักงานสามัคคีกันเพื่อปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ ผมคิดว่าองค์กรนั้นน่านับถือมากเลยครับ และควรจะต้องรักษาพนักงานที่ฮึดสู้ไปพร้อมกับองค์กรแบบนี้ไว้
ทุกวันนี้นอกจากเราแข่งกับคนในประเทศแล้ว ยังต้องแข่งกับคนทั้งโลกเนื่องจากการค้าเสรีและเทคโนโลยีเข้ามาขจัดอุปสรรคทางพื้นที่ออกไป ไหนจะต้องแข่งกับเอไออีก ถ้าไม่ปรับตัวคงไม่ได้แล้วล่ะครับ
ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาต้องการตัวเราที่เปลี่ยนแปลงเช่นกันครับ ลองกลับมาสำรวจตัวเองนะครับว่า มีทักษะอะไรบ้างที่เราต้องมีเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ทักษะอะไรบ้างที่คนอื่นจะแทนที่เราไม่ได้ แปลว่าเรายิ่งต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ยิ่งทำได้เร็วยิ่งดี แม้กระทั่งเอไอก็เถอะ เราต้องมีทักษะที่สุดท้ายแล้วเราจะเป็นผู้ควบคุมมัน ไม่ใช่ให้มันมาแทนที่เรา
มีเว็บไซต์หนึ่งที่ผมชอบคือ www.willrobotstakemyjob.com ให้เรากรอกอาชีพของเราลงไป แล้วจะมีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่เอไอจะมาแทนที่งานของเราได้ แต่ถึงจะเป็นไปได้น้อยก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ต้องปรับตัว เพราะต่อให้ไม่มีเอไอเข้ามา การเปลี่ยนแปลงก็เข้ามาอยู่เสมอ และเรายังจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้ทำงานออกมาได้ดี เมื่อทำงานดี เราก็มีที่ยืนได้ เท่านั้นเองครับ
เมื่อมีทักษะที่พร้อมแล้ว ต่อให้ธุรกิจที่คุณทำจะล่มสลายหรือไม่ก็ตาม คุณก็ยังมีอาวุธทางความสามารถที่จะไปต่อยอดได้ ไม่ว่าจะต่อยอดกับงานสายเดิมหรืองานใหม่ก็ตาม แต่ถ้าไม่ปรับตัว ไม่พัฒนา เราก็อยู่รอดยากครับ
พยายามอย่าไปยึดติดกับการทำงานว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แบบเดียวเท่านั้น ให้คิดว่า ถ้าวิธีไหนที่ทำแล้วงานจะดีขึ้นให้ทำวิธีนั้นครับ แม้มันจะหมายถึงการที่เราต้องปรับตัวเองก็ตาม แต่ถ้ามันทำให้งานดีขึ้น ผมคิดว่าเราก็ต้องปล่อยวางวิธีเก่าๆ แล้วคิดหาวิธีการใหม่ๆ
ผมคิดว่าสัจธรรมที่ดิจิทัลกำลังสอนเราคือไม่มีอะไรอยู่นิ่ง ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด คนทำงานสายดิจิทัลเองก็ต้องอัปเดตความรู้ตลอดเวลา เอาง่ายๆ ครับ เฟซบุ๊กทุกวันนี้แทบจะเปลี่ยนกฎรายวัน ก็ต้องเรียนรู้กันทุกวันนี่แหละครับ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงครับ ทุกคนเจอกันหมด ยังไงก็ต้องปรับตัว อย่ากลัวว่าเรื่องที่คุณไม่รู้จะเป็นเรื่องยาก เพราะขนาดคนที่รู้อยู่แล้วยังไม่หยุดรู้เลย เพราะฉะนั้น คุณกระโดดเข้ามาเรียนรู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะรู้ช้า เพราะเข้ามาแล้วก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ อยู่ดี
เช่นเดียวกัน ถ้าจะย้ายสายงานจากเดิมเพราะคิดว่ามันมีโอกาสที่ดีมากกว่า ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่ต้องกังวล เพราะต้นทุนความสามารถและประสบการณ์ที่คุณมีมาจะเป็นประโยชน์ต่องานใหม่ เพียงแต่ว่า คุณเองก็ต้องหาทางเติมความสามารถที่สายงานใหม่ๆ ต้องการ และก็ต้องไม่ลืมว่า ต่อให้ไปสายงานไหนก็ตาม เราเองยังต้องหาทางพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงจะพัดพาเข้ามาอยู่เสมอ ไม่ว่ามันจะเป็นสายลมที่อ่อนโยนหรือพายุก็ตาม
ไม่ว่าจะอยู่สายงานเดิมหรือย้ายไปสายงานใหม่ ทั้งสองทางล้วนมีโอกาสที่ดีทั้งคู่ครับ อยู่ที่เราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ลองเปลี่ยนจากความรู้สึกว่ามาทำงานเพื่อรอบริษัทปิดเป็นมาทำงานเพื่อหาวิธีการให้เราอยู่รอดในการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรดีกว่าครับ เพื่อตัวคุณเองด้วย เพราะถ้าใช้ชีวิตเฉาๆ ไปผมว่าเสียดายเวลานะครับ เวลาที่เสียไปกับความเฉาของเรามันเอาไปทำอะไรได้เยอะแยะเลย เอาไปเรียนอะไรได้อีกเยอะที่จะทำให้เราอยู่ต่อในโลกนี้ได้
ถ้ารู้แล้วว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีโอกาสดีได้หมด ผมคิดว่าท้อให้เรียบร้อยแล้วกลับมาลุกขึ้นสู้ใหม่กันดีกว่าครับ และไม่ต้องห่วงว่าคุณจะโดดเดี่ยวนะครับ เพราะทุกคนก็กำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับคุณ ลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลานไปไม่ต่างกับคุณ
เราก็สู้ไปด้วยกันนี่แหละครับ มา! ไปด้วยกัน!
* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai