×

วาตารุ เอ็นโดะ กลายเป็นหนึ่งใน ‘เสาหลัก’ ของลิเวอร์พูลได้อย่างไร?

04.01.2024
  • LOADING...
ลิเวอร์พูล

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • เอ็นโดะลงตัวจริงหนแรกในเกมกับนิวคาสเซิล แต่ดูมีปัญหากับสปีดเกมของพรีเมียร์ลีกอย่างมาก เขาตามเกมแทบไม่ทัน และสุดท้ายก็โดนเปลี่ยนตัวออกเมื่อครบชั่วโมง
  • จุดเปลี่ยนสำคัญของเอ็นโดะเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลพบกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ปรากฏว่าในเกมดังกล่าว อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้รับบาดเจ็บแผลฉีกที่เข่าจนไม่สามารถลงเล่นต่อไหว นั่นหมายถึงลิเวอร์พูลเหลือกองกลางตัวรับแท้ๆ แค่คนเดียวคือเอ็นโดะ ในช่วงที่โปรแกรมการแข่งขันชุกสุดๆ ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ถ้ามีเอ็นโดะลงสนามเป็น ‘ตัวจริง’ ลิเวอร์พูลจะชนะถึง 6 จาก 8 นัด (75%) และเสียประตูแค่ 5 ลูก (0.6 ประตูต่อเกม) แต่ถ้าไม่ได้ลงตัวจริง ลิเวอร์พูลชนะแค่ 7 จาก 12 นัด (58.3%) และเสียประตูถึง 13 ลูก (1.1 ประตูต่อเกม)

แต่ไหนแต่ไรมาพรีเมียร์ลีกขึ้นชื่อในเรื่องของความโหดหิน เล่นกันรวดเร็วและหนักหน่วง ไม่ปล่อยให้ใครได้มีเวลาหายใจหายคอกัน ซึ่งด้วยสปีดเกมที่เร็วกว่านรก ทำให้นักฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเกมในอังกฤษได้

 

วาตารุ เอ็นโดะ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่เจอปัญหาในแบบเดียวกัน

 

กองกลางตัวรับกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นถูกลิเวอร์พูลดึงตัวเข้ามาในช่วงตลาดการซื้อ-ขายรอบฤดูร้อน เพื่อทดแทนการขาดหายของกองกลางตัวรับ เพราะ ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ย้ายไปซาอุดีอาระเบียด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่เขาไม่ได้มาในฐานะนักเตะเป้าหมายหลัก เพราะเดิมลิเวอร์พูลสนใจในตัว มอยเซส ไกเซโด และ โรเมโอ ลาเวีย สองกองกลางที่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกมาก่อน

 

ด้วยวัย 29 ปี และค่าตัวแค่ 16.2 ล้านปอนด์ ไม่มีใครคาดหวังอะไรในตัวเขามากนัก และดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่ามีปัญหาในการปรับตัวกับการเล่นในอังกฤษที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ

 

แต่ถึงวันนี้ที่เอ็นโดะเดินทางไปรับใช้ทีมชาติญี่ปุ่นในรายการเอเชียนคัพ กองกลางฮาร์ดแมนรายนี้กลายเป็นขวัญใจของแฟนในแอนฟิลด์ไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

ย้อนกลับไปในเกมแรกที่กองกลางตัวทำลายเกมในแบบ ‘หมายเลข 6’ ได้ออกสตาร์ทตัวจริงกับลิเวอร์พูล ก็คือเกมที่บุกไปเยือนนิวคาสเซิลที่เซนต์เจมส์พาร์ก

 

ก่อนหน้านั้นเอ็นโดะได้โอกาสลงประเดิมสนามไปแล้วในฐานะตัวสำรองในเกมที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะบอร์นมัธ โดยได้โอกาสอยู่ในสนามเป็นเวลา 28 นาที เพียงแต่การต้องลงตัวจริงในเกมไปเยือนนิวคาสเซิลที่มีแผงกลางแข็งแกร่งทั้ง บรูโน กิมาไรช์, โชลินตัน และ ซานโดร โตนาลี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินไปสำหรับน้องใหม่ในเกมฟุตบอลอังกฤษ

 

เกมนั้นเอ็นโดะดูมีปัญหากับสปีดเกมของพรีเมียร์ลีกอย่างมาก เขาตามเกมแทบไม่ทัน และสุดท้ายก็โดนเปลี่ยนตัวออกเมื่อครบชั่วโมง โดยเป็น ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่ได้ลงสนามมาแทน ซึ่งลิเวอร์พูลที่เสียเปรียบผู้เล่นเหลือ 10 คนตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก เพราะ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค โดนใบแดง มาพลิกสถานการณ์แซงเอาชนะได้ในช่วงท้ายเกมจาก 2 ประตูของ ดาร์วิน นูนเญซ

 

จากวันนั้นเอ็นโดะค่อยๆ ปรับตัวและพัฒนาการเล่นของตัวเองขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ และในการกลับมาพบกับนิวคาสเซิลอีกครั้งในเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา กองกลางเจ้าของสมญา Duel King มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยคุมเกมแดนกลาง ลิเวอร์พูลนอกจากจะชนะด้วยสกอร์เด็ดขาด 4-2 พวกเขายังมีโอกาสในการทำประตูมากกว่า 30 ครั้ง และสร้างสถิติมีค่าคาดหวังการได้ประตู (Expected Goals) ในเกมเดียวสูงถึง 7.11 มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

 

 

เริ่มต้นด้วยก้าวเล็กๆ

 

ด้วยความที่เป็นกองกลางที่ย้ายมาด้วยค่าตัวไม่มาก ทำให้ความคาดหวังในตัวของเอ็นโดะไม่ได้สูงมากนัก ซึ่ง เจอร์เกน คล็อปป์ ที่เป็นคนกดปุ่มไฟเขียวให้สโมสรช่วยดึงตัวกองกลางตัวรับรายนี้เข้ามาเป็นกรณีพิเศษ (ปกติแล้วลิเวอร์พูลจะไม่ยอมซื้อผู้เล่นที่มีอายุมากเด็ดขาด) ก็กำหนดบทบาทของกัปตันซามูไรบลูในฐานะ Squad Player ที่จะรอโอกาสลงทดแทนตัวหลัก

 

ในช่วงแรก เกมที่เอ็นโดะจะได้ลงสนามจึงเป็นฟุตบอลถ้วยอย่างลีกคัพและยูฟ่ายูโรปาลีกมากกว่า

 

อดีตกัปตันทีมสตุ๊ตการ์ตลงสนามเป็นตัวจริงในลีกคัพและยูโรปาลีกครบทุกนัดจำนวนทั้งหมด 9 เกม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะทำผลงานได้ค่อนข้างน่าประทับใจ โดยเฉพาะในฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็กที่จังหวะการเล่นไม่ได้เร็วมาก ทำให้เอ็นโดะเล่นได้สบายขึ้น

 

จากที่อย่าว่าแต่จะทำเกมเลย แค่จับบอลก็พร้อมโดนแย่งตลอดเวลาในเกมพรีเมียร์ลีก เอ็นโดะค่อยๆ สะสมความมั่นใจจากเกมเหล่านี้ เรียนรู้จังหวะและสไตล์การเล่นของลิเวอร์พูลอย่างช้าๆ จากจับบอลไม่อยู่ก็เริ่มจับบอลแรกได้ดีขึ้น เริ่มหาตำแหน่งยืนได้ถูกต้อง เริ่มกล้าที่จะออกบอลด้วยน้ำหนักและทิศทางที่แม่นยำขึ้น ไปจนถึงการทำประตูแรกได้ในเกมกับตูลูส

 

เพียงแต่กับพรีเมียร์ลีกยังเป็นเหมือนของสแลงที่ไม่ถูกกันนัก และส่วนใหญ่ต้องลงสนามในฐานะตัวสำรองเป็นหลัก

 

 

เสาหลักที่ไม่ยอมหักโค่น

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของเอ็นโดะเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลพบกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเขาได้โอกาสในการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงหลังจากที่ลงมาเป็นตัวสำรองในเกมก่อนหน้าที่พบกับฟูแลม และทำประตูสำคัญตีเสมอ 3-3 ในช่วงท้ายเกมก่อนทีมจะชนะสุดเดือด 4-3

 

ในเกมที่บรามอลล์เลน เขาได้โอกาสลงเล่นร่วมกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบสไล แล้วปรากฏว่าในเกมดังกล่าวกองกลางชาวอาร์เจนตินาได้รับบาดเจ็บแผลฉีกที่เข่าจนไม่สามารถลงเล่นต่อไหว นั่นหมายถึงลิเวอร์พูลเหลือกองกลางตัวรับแท้ๆ แค่คนเดียวคือเอ็นโดะ ในช่วงที่โปรแกรมการแข่งขันชุกสุดๆ ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

 

สถานการณ์นั้นเป็นที่น่ากังวลใจในหมู่แฟนบอลเดอะค็อปไม่น้อยในทีแรก และยิ่งตอกย้ำมากขึ้นไปอีกในเกมถัดมาที่ลิเวอร์พูลพบกับคริสตัล พาเลซ ซึ่งดาวเตะเลือดบูชิโดเล่นได้ไม่ดีนักและถูกถอดออกจากสนามในช่วงพักครึ่ง โดยเป็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ลงมายืนเป็นกองกลางตัวรับแทน

 

ถึงตอนนั้นมีการมองกันว่าบางทีเอ็นโดะอาจจะไปไม่รอด ลิเวอร์พูลอาจจำเป็นต้องมองหากองกลางตัวรับคนใหม่เข้ามาในอนาคตอันใกล้ หรืออาจต้องขยับเอารองกัปตันอย่างเทรนต์มาเล่นบทบาทนี้

 

แต่ปรากฏว่าคล็อปป์ยังให้โอกาสเอ็นโดะได้ลงสนามต่อเนื่องในฐานะตัวจริงทุกนัด เริ่มตั้งแต่เกม ‘แดงเดือด’ ที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อด้วยเกมลีกคัพรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ช่วยเรียกความมั่นใจ เพราะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและทีมชนะสวยหรูถึง 5-1

 

ต่อจากนั้นคือเกมสำคัญในการรับมืออาร์เซนอลที่แอนฟิลด์ ซึ่งเอ็นโดะต้องดวลกับกองกลางของทีมที่ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยกันอย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์, มาร์ติน โอเดอการ์ด และ ดีแคลน ไรซ์ เจ้าของค่าตัว 105 ล้านปอนด์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกคู่กับ โรดรี ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

ปรากฏว่าเอ็นโดะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถหยุดยั้งเกมของอาร์เซนอลได้อย่างแข็งแกร่ง เป็น ‘เสาหลัก’ ที่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าฝากความหวังเอาไว้ได้

 

เอ็นโดะลงสนามต่อเนื่องถึง 5 นัดในช่วงเวลา 13 วัน – เป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกที่ทำได้นับตั้งแต่ปี 2006 – โดยที่อาจจะมีอาการอ่อนล้าให้เห็นบ้าง แต่สู้สุดใจทุกช็อต จนชนะใจทุกคน

 

ในเกมกับนิวคาสเซิล คล็อปป์ถอดเอ็นโดะออกมาพักในนาทีที่ 75 โดยได้รับเสียงปรบมือกึกก้องจากแฟนๆ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมที่แสดงออกถึงความประทับใจในเลือดนักสู้บูชิโดของเขา

 

 

จอมดวลในสนาม

 

สถิติที่สะดุดตาหลายคนมากที่สุดคือ ผลงานของลิเวอร์พูลในวันที่มีกับไม่มีเอ็นโดะลงสนาม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

 

ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ถ้ามีเอ็นโดะลงสนามเป็น ‘ตัวจริง’ ลิเวอร์พูลจะชนะถึง 6 จาก 8 นัด (75 เปอร์เซ็นต์) และเสียประตูแค่ 5 ลูก (0.6 ประตูต่อเกม)

 

แต่ถ้าไม่ได้ลงตัวจริง ลิเวอร์พูลชนะแค่ 7 จาก 12 นัด (58.3 เปอร์เซ็นต์) และเสียประตูถึง 13 ลูก (1.1 ประตูต่อเกม)

 

เอ็นโดะยังทำผลงานได้ดีในบทบาท ‘หมายเลข 6’ ซึ่งผลงานดีกว่า ฟาบินโญ เมื่อฤดูกาลที่แล้วด้วย โดยเข้าสกัดบอลเฉลี่ยต่อเกมสูงกว่า (เฉลี่ย 2.22 ต่อ 2.19 ครั้ง) ตัดเกมได้มากกว่า (1.50 ต่อ 1.25 ครั้ง) แย่งบอลได้มากกว่า (6.8 ต่อ 5.9) แย่งบอลได้ในแดนสุดท้าย (0.92 ต่อ 0.71) และผ่านบอลมากกว่า (64.4 ต่อ 60.3)

 

นอกจากนี้ยังเป็นจอมดวลลูกกลางอากาศด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเขาตั้งแต่ยังเล่นอยู่ในบุนเดสลีกาแล้ว โดยฤดูกาลก่อนเขาเอาชนะในการดวลลูกกลางอากาศ (Aerial Duels) ได้ถึง 219 ครั้ง คิดแล้วดวลชนะเฉลี่ย 2.2 จาก 3.7 ครั้ง ต่อ 90 นาที

 

ในฤดูกาลนี้เอ็นโดะก็ยังทำได้ดี โดยชนะการดวลลูกกลางอากาศ 1.9 ครั้ง ต่อ 90 นาที (จากการดวลเฉลี่ย 3.6 ครั้งต่อเกม) ซึ่งในพรีเมียร์ลีกมีนักเตะที่ลงเล่นมากกว่า 500 นาทีที่มีค่าสถิตินี้ดีกว่าเขาเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น และเมื่อเรามองถึงสรีระรูปร่างแล้วก็จะพบว่าเป็นสถิติที่น่าประทับใจอย่างมาก เพราะคนเอเชียสามารถขึ้นโหม่งไม่แพ้ใครในลีกที่โหดที่สุดของโลก

 

จุดที่เขายังเป็นรองกองกลางคนอื่นคือ เรื่องของการมีส่วนร่วมกับเกมรุกที่เป็นรองทุกคน โดยค่าสถิติการมีส่วนร่วมกับจังหวะเกมรุก (Attacking Sequence Involvements – ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ การยิง การสร้างโอกาส และการมีส่วนร่วมไปสู่โอกาสการยิง) เอ็นโดะอยู่รองบ๊วยในแผงกลางของลิเวอร์พูล แต่ก็ยังมีสถิติเหนือกว่าแม็ค อัลลิสเตอร์ เล็กน้อย แม้ว่ากองกลางดีกรีแชมป์โลกจะทำได้ดีกว่าในการผ่านบอลขึ้นหน้าก็ตาม

 

แต่ในหลายเกมหลังเอ็นโดะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีดีแค่ทำลายเกมฝั่งตรงข้าม แต่ยังสามารถสร้างสรรค์เกมได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลำเลียงบอลขึ้นมาเอง การผ่านบอลขึ้นหน้า หรือการเปลี่ยนแกนด้วยบอลทแยงมุม

 

 

ขาดเอ็นโดะเหมือนขาดใจ?

 

จากผลงานทั้งหมด การขาดหายไปของเอ็นโดะที่จะรับใช้ทีมชาติญี่ปุ่นเป็นเวลาร่วม 1 เดือนนับจากนี้จึงถือเป็นเรื่องที่เสียหายสำหรับลิเวอร์พูลอยู่ไม่น้อย

 

ประเมินกันเบื้องต้น มิดฟิลด์จอมบู๊จะหายไป 4 นัดเป็นอย่างน้อย

 

  • อาร์เซนอล (เยือน) | เอฟเอคัพ รอบที่ 3 | วันที่ 7 มกราคม
  • ฟูแลม (เหย้า) | ลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก | วันที่ 10 มกราคม
  • บอร์นมัธ (เยือน) | พรีเมียร์ลีก | วันที่ 21 มกราคม
  • ฟูแลม (เยือน) | ลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 | วันที่ 24 มกราคม

 

โดยที่หากลิเวอร์พูลชนะอาร์เซนอลได้ เอ็นโดะจะพลาดเกมรอบที่ 4 ของเอฟเอคัพที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 หรือ 28 มกราคมด้วย และมีโอกาสที่จะหายไปยาวกว่านั้น เพราะญี่ปุ่นมีลุ้นถึงแชมป์เอเชียนคัพแน่นอน โดยจะมีเกมพรีเมียร์ลีกอีก 3 นัดที่สำคัญต่อจากนั้นคือ เกมพบกับเชลซี (เหย้า, วันที่ 31 มกราคม), อาร์เซนอล (เยือน, วันที่ 4 กุมภาพันธ์) และเบิร์นลีย์ (เหย้า, วันที่ 10 กุมภาพันธ์)

 

รวมแล้วอาจจะหายไปสูงสุดถึง 7-8 นัดเลยทีเดียว

 

ถึงแม้ว่าแม็ค อัลลิสเตอร์ จะหายเจ็บกลับมาแล้วและพร้อมจะแบกทีมต่อแทน แต่การหายไปของคนขยันอย่างเอ็นโดะ เชื่อว่าจะส่งผลต่อการจัดการทีมของคล็อปป์ไม่น้อย

 

และการที่ลิเวอร์พูลต้องว้าวุ่นใจแบบนี้ ก็แทนคำตอบได้ดีว่าเอ็นโดะทำได้ดีเกินความคาดหมายไปมากขนาดไหน

 

โดยสิ่งที่เขาทำได้ไม่ได้มาจากเรื่องของความบังเอิญหรือโชคชะตา (แน่ล่ะ จังหวะชีวิตก็มีส่วน) แต่มันมาจากหยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ ความเหนื่อยยาก และหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ จนสามารถพิสูจน์ตัวเองกับหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดของโลกได้สำเร็จ

 

ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เอ็นโดะคือ ‘Cult Hero’ คนใหม่ของแฟนลิเวอร์พูลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising