ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งสำหรับการลงทุนของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นหนึ่งในบริษัทให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนที่เรียกได้ว่าน่าผิดหวัง
โดยหุ้น BRK ปรับตัวลดลงถึง -19% ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน -3.2% เท่านั้น โดยในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คุณปู่ได้มีการปรับพอร์ตขนานใหญ่ มีการขายหุ้นสายการบินที่ถือเอาไว้ออกทั้งหมด โดยมองว่าผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะหนักหนาและกินเวลานานกว่าที่คิด และได้มีการขายหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ตัวเขาชอบมากและชอบมาอย่างยาวนาน โดยได้ขายหุ้นอย่าง JPMorgan และ Wells Fargo ออกไปพอสมควร และได้ขายหุ้น Goldman Sachs ออกไปจนหมด ได้เงินไปทั้งสิ้นราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ได้มีการเพิ่มการถือครองหุ้น Bank of America เป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น Berkshire Hathaway ที่มากกว่าดัชนี S&P 500 ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ตัวคุณปู่เริ่มถูกค่อนขอดจากตลาดว่าน่าจะเป็นนักลงทุนที่ ‘ตกยุค’ ไปแล้วเรียบร้อย เนื่องจากในพอร์ตมีหุ้นในกลุ่ม New Economy อย่างเทคโนโลยีในสัดส่วนที่น้อยเกินไป ทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นบริษัทแพ้ดัชนีมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
แต่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Berkshire เริ่มมีการฟื้นตัวที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ราว 20% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เพียง 8% จากการปรับฐานที่รุนแรงของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่หุ้น Apple ที่ทางบริษัทถืออยู่มากที่สุดปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% และหุ้น Coca-Cola ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 10%
มาดูกันว่าบัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้นอะไรที่น่าสนใจเข้ามาบ้าง
1. Barrick Gold
เป็นที่ทราบกันดีว่าบัฟเฟตต์ไม่ได้ชื่นชอบการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ เลยนอกจากหุ้น ในอดีตมากกว่า 10 ปี ตัวคุณปู่ได้เคยซื้อหุ้น PetroChina ที่เป็นหุ้นเกี่ยวกับคอมโมดิตี้ แต่ก็ไม่ได้ถือนานมากนัก มาในปี 2020 ตัวคุณปู่ได้ซื้อหุ้นที่ทำให้ตลาดประหลาดใจอยู่พอสมควร นั่นคือได้เข้าไปซื้อหุ้น Barrick Gold ที่ทำธุรกิจเหมืองทองคำ ที่ผ่านมาตัวคุณปู่มีความเห็นว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้น่าดึงดูดสักเท่าไร ไม่ใช่ธุรกิจ และไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้เลย เงินปันผลก็ไม่มี เป็นสินทรัพย์ที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่ต้องหาที่เก็บให้มัน และจะมีใช้จ่ายตามมาอีกต่างหาก แต่การซื้อเหมืองทองคำถือว่าเป็นการซื้อธุรกิจ ไม่ได้ซื้อคอมโมดิตี้โดยตรง แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างแปลกอยู่ดี
ดังนั้นตลาดจึงคาดว่าการลงทุนในครั้งนี้น่าจะเป็นฝีมือของ ทอดด์ คอมบ์ส และเท็ด เวชเลอร์ ที่เป็นผู้จัดการด้านการลงทุนของบริษัทมากกว่า แต่การเข้าซื้อหุ้นจำนวน 20.92 ล้านหุ้น มูลค่า 536.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะได้ไฟเขียวจากทางคุณปู่บัฟเฟตต์ด้วย ซึ่งถ้ามองในมุมของเศรษฐกิจมหภาคแล้ว การลงทุนในเหมืองทองคำก็ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ไป ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงดอกเบี้ยในระดับต่ำ และรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วก็น่าจะยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง ปริมาณของพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกก็คงจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำยังพอมีอัพไซด์ ดังนั้นการซื้อหุ้นเหมืองทองเลยก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ
2. Bank of America
อันนี้ถือว่าน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เนื่องจากทางบริษัทได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นสถาบันการเงินถึง 9 แห่ง และได้ขายหุ้น Goldman Sachs ออกไปจนหมด แต่มีการถือครองหุ้น Bank of America เพิ่มมากขึ้น โดยทาง Berkshire ได้ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ถือหุ้นของธนาคารแห่งนี้เป็นสัดส่วน 12% ตลาดคาดว่าปัจจัยหลักที่ทำให้คุณปู่เข้าซื้อธนาคารแห่งนี้มาจากมูลค่าที่น่าสนใจ โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาแรงมากจากผลกระทบของโควิด-19 แต่ Bank of America มีพอร์ตสินเชื่อที่คุณภาพสูง และเป็นบริษัทที่เปรียบเสมือนเครื่องพิมพ์ธนบัตรดีๆ นี่เอง ในช่วงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2019 ถึงมิถุนายน 2020 บริษัทได้ให้ผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนเงินสูงถึง 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืน
อีกปัจจัยมาจากความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยนโยบาย จากการทดสอบย้อนหลังพบว่าราคาของหุ้น Bank of America มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยนโยบายสูงเป็นอันดับต้นๆ การเข้าซื้อหุ้น Bank of America ของ Berkshire เกิดขึ้นในตอนที่ดอกเบี้ยนโยบายลงมาสู่พื้นแล้วที่ 0-0.25% มันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่ดอกเบี้ยจะต่ำกว่านี้ ถึงแม้ดอกเบี้ยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็จะต้องค่อยๆ ปรับตัวขึ้น และ Bank of America จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
3. Berkshire Hathaway
บริษัทนี้ถือว่าไม่ค่อยน่าแปลกใจนัก เพราะตัวคุณปู่ก็เคยพูดหลายครั้งว่าถ้าหาโอกาสที่น่าลงทุนไม่ได้ การซื้อหุ้นคืนในบริษัท Berkshire เองก็เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจเพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยทางบริษัทได้ซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนเงิน 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก และได้ซื้อเพิ่มขึ้นอีกถึง 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งมากกว่า 2 ไตรมาสแรกของปีรวมกันเสียอีก และส่งผลให้ยอดรวมในการซื้อหุ้นคืนสูงถึง 15,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวคุณปู่เข้าซื้อบริษัทตัวเองสูงขนาดนี้มาจากสัดส่วนทางการเงินตัวหนึ่ง นั่นคือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ Price to Book ของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี
เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณปู่บัฟเฟตต์เป็นคนที่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของสหรัฐฯ มากที่สุด มากกว่าประเทศไหนๆ ในโลก และการที่ Berkshire ได้ถือครองหุ้นทั้งที่อยู่ในตลาดหุ้นและไม่ได้อยู่มากกว่า 60 บริษัท เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดีจากผลกระทบของการแพร่ระบาด ก็เชื่อว่าราคาหุ้นของ Berkshire น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีพอสมควรเลย
Berkshire Hathaway ได้มีการซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนสูงมาก
ในไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา
ภาพ:Bloomberg
สรุป
การมองว่าคุณปู่เป็นนักลงทุนที่เหลือแต่ตำนานแล้วและเป็นนักลงทุนที่ตกยุคดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยยุติธรรมกับตัวเขาสักเท่าไร ถึงแม้ในช่วงหลังๆ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น Berkshire อาจจะสู้ดัชนีอย่าง S&P 500 ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก อย่างในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาก็สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีมากกว่าเท่าตัว การลงทุนของบริษัทก็พยายามลงทุนไปที่บริษัทในกลุ่มธุรกิจใหม่ หรือ New Economy มากขึ้น อย่างล่าสุดที่เข้าไปซื้อหุ้น Snowflake ที่ทำธุรกิจ Cloud Computing ในราคา IPO และได้มีการออกไปซื้อหุ้นต่างประเทศด้วย ผ่านการซื้อหุ้นเทรดดิ้งขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น 5 แห่ง แห่งละไม่ต่ำกว่า 5% ของสัดส่วนในการเป็นเจ้าของในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพราะมองว่าจะเป็นธุรกิจที่อย่างไรก็อยู่ได้ และจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงหลังการแพร่ระบาด
ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาหุ้นของ Berkshire ค่อนข้าง Underperform ดัชนีในภาพรวมมาจากเงินสดก้อนมหาศาลที่รอลงทุน ตัวเลขล่าสุดเมื่อสิ้นไตรมาส 3 เงินสดของบริษัทมีปริมาณสูงถึง 145,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินก้อนนี้ถือเป็นโจทย์ก้อนใหญ่ที่จะต้องนำไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทน เนื่องจากดอกเบี้ยที่อยู่ต่ำมากในปัจจุบัน การถือครองเงินสดไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนอะไร แต่โอกาสในการลงทุนค่อนข้างที่จะหายาก เพราะบริษัทจะต้องลงทุนในดีลที่ค่อนข้างใหญ่และมีราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งหาได้ยากในช่วงต่อจากนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และทางธนาคารกลางก็เข้ามาช่วยเหลือเศรษฐกิจผ่านการทำ QE ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถประคองตัวผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่มาได้
ต้องมาดูกันว่าผลตอบแทนของหุ้น Berkshire Hathaway ในไตรมาส 4 จะยังสามารถเอาชนะตลาดในภาพรวมได้อีกครั้งหรือไม่ เพราะถ้านับตั้งแต่เข้าปี 2020 ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายนยังคงติดลบอยู่ -0.8% แพ้ดัชนี S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทน +9.5% อยู่พอสมควรครับ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์