ท่ามกลางความปั่นป่วนผันผวนของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จนทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกสับสน หวาดวิตก และไร้ทิศทางในการลงทุน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนส่วนหนึ่งได้แสดงความเห็นเพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนสำหรับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนนี้ โดยการกระตุ้นให้นักลงทุนคิดถึงหนึ่งในพื้นฐานสำคัญสามัญที่สุดของการมีอยู่ของตลาดทุน นั่นคือ การเป็นช่องทางให้บริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายนำเงินจากนักลงทุนไปขยับขยายกิจการเพื่อสร้างผลตอบแทนคืนกลับมา
ทั้งนี้ ตามหลักการการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟต์ มหาเศรษฐีนักลงทุน ผู้ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในเจ้าพ่อตลาดหุ้น และผู้ก่อตั้ง Berkshire Hathaway ระบุชัดว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท และธุรกิจที่ดีที่สุดที่ควรเป็นเจ้าของก็คือ ธุรกิจที่สามารถใช้ทุนเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้นตามระยะเวลาที่ขยายออกไป พร้อมด้วยอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เมื่อพิจารณาตามหลักการของบัฟเฟต์ พบว่ามีหุ้นบริษัทในตลาดวอลล์สตรีทในขณะนี้ที่เข้าข่ายน่าลงทุน ด้วยอัตราผลตอบแทนมากกว่า 20% ซึ่งมีอยู่ 3 บริษัทคือ ไนกี้, สตาร์บัคส์ และกูเกิล
รายงานระบุว่า ปัจจุบันไนกี้มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 37 เท่า ต่ำกว่าบริษัทคู่แข่งอย่าง Under Armour ซึ่งมีค่า P/E ที่ 65 เท่า และ Lululemon Athletica ที่มีค่า P/E 59 เท่า แต่สูงกว่าคู่แข่งอย่าง อาดิดาส ซึ่งอยู่ที่ 28 เท่า โดยเหตุผลหลักที่ทำให้ไนกี้ยังคงเป็นแบรนด์สินค้ากีฬาที่แข็งแกร่ง เนื่องจากการพัฒนานวัตกรรมของสินค้า บวกกับการทำการตลาดที่มุ่งเข้าถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มทั่วโลกมากขึ้น โดยไตรมาสล่าสุด กำไรของไนกี้ขยายตัวได้ถึง 45.8%
ขณะที่สตาร์บัคส์ ซึ่งให้ผลตอบแทนนักลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 31% ยังคงเป็นบริษัทที่น่าลงทุน เนื่องจากความได้เปรียบของแบรนด์กาแฟคุณภาพและบริการที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีโอกาสขยายตัวในตลาดต่างประเทศ เช่น จีน และญี่ปุ่น ทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้
ด้านอัลฟาเบต บริษัทแม่ของเสิร์ชเอ็นจินยักษ์ใหญ่ยืนหนึ่งอย่าง กูเกิล คืออีกหนึ่งตัวเลือกแนะนำสุดท้ายที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากมีการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง บวกกับรายได้จากการโฆษณาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันเข้าหากิจกรรมออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทมีรายได้หมุนเวียนเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ยืนยันได้จากรายได้ในไตรมาสล่าสุดของบริษัทที่เพิ่มขึ้น 62% ในอัตรารายปีมาอยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่า P/E โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 26 เท่า
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP