สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานอ้างอิงเอกสารของบริษัท Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ยื่นต่อทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ในช่วงสายของวันศุกร์ (11 มีนาคม) ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า 3 วันก่อนหน้า ทางบริษัทได้ทุ่มเงินมากกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ ซื้อหุ้นของบริษัทพลังงาน Occidental Petroleum เพิ่มอีก 27.1 ล้านหุ้น โดยมีราคาเฉลี่ยต่อหุ้นระหว่าง 51.03-58.58 ดอลลาร์
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่สัปดาห์ก่อนหน้าทาง Berkshire Hathaway เพิ่งจะควักเงิน 4,500 ล้านดอลลาร์ ซื้อหุ้นทั้งหมด 91.2 ล้านหุ้นของ Occidental Petroleum ส่งผลให้ขณะนี้ Berkshire Hathaway มีหุ้นในบริษัทพลังงานแห่งนี้ทั้งหมด 118.3 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าเกือบ 6,900 ล้านดอลลาร์ และมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 12% ทำให้ Occidental Petroleum ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 9 ของรายชื่อบริษัทที่ Berkshire Hathaway ถือครองหุ้นมากที่สุดที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ Berkshire Hathaway เข้าซื้อหุ้นเกือบ 84 ล้านหุ้นของ Occidental Petroleum ในปี 2019 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ Berkshire Hathaway ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ Occidental เพื่อเข้าซื้อ Anadarko Petroleum ซึ่งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาพลังงานที่พุ่งพรวดส่งผลให้หุ้นของบริษัททะยานขึ้นเกือบ 90% แล้ว
ขณะเดียวกัน ทาง Goldman Sachs ยังได้เปิดเผยรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของยุโรป ในกรณีที่ทางรัฐบาลประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ตัดสินใจปิดท่อส่งก๊าซ โดยการจัดทำรายงานฉบับนี้มีขึ้นหลังจากที่ อเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ออกมาเตือนว่ารัสเซียจะยุติการส่งออกก๊าซไปยังเยอรมนีผ่านท่อลำเลียงก๊าซ Nord Stream 1
คำเตือนของโนวัคส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลเยอรมนีสั่งปิดท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 เมื่อเดือนที่ผ่านมา ภายใต้ความร่วมมือจากพันธมิตรนานาประเทศเพื่อมุ่งจัดการกับระบบเศรษฐกิจรัสเซียโดยเฉพาะ
ผลการศึกษาของ Goldman Sachs พบว่า การเดินหน้าสกัดกั้นการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมากขึ้นจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้สกุลเงินยูโรหรือยูโรโซน ก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงเร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้
ทั้งนี้ ความเสี่ยงด้านอุปทานที่เกิดจากสงครามทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก โดยน้ำมัน นิกเกิล และข้าวสาลี ก็เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับก๊าซธรรมชาติในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่สำหรับยูโรโซน ประมาณ 1 ใน 4 ของพลังงานล้วนพึ่งพาก๊าซธรรมชาติที่นำเข้ามาเป็นหลัก และรัสเซียคิดเป็น 1 ใน 3 ของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติของยุโรป ดังนั้นการหยุดชะงักของการนำเข้าก๊าซเพิ่มเติมใดๆ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลผลิตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนได้
อ้างอิง: