เชทัน อาห์ยา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง Morgan Stanley วาณิชธนกิจชั้นนำในสหรัฐฯ เตือนว่าเศรษฐกิจทั่วโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยนาน 6-9 เดือน หลังสหรัฐฯ และจีนเปิดศึกการค้ารอบใหม่ด้วยมาตรการทางภาษีชุดใหญ่
การตอบโต้กันไปมาแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ โดยผู้บริหารระดับสูงมีแนวโน้มวิตกกังวลจนส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น เลื่อนการสร้างโรงงานใหม่ๆ เพราะเกรงว่าห่วงโซ่อุปทานอาจถูกกระทบจากสงครามการค้าหรือมาตรการภาษี
อาห์ยาเขียนเตือนลูกค้าบริษัทว่าความเสี่ยงจากสงครามการค้ายังมีแนวโน้มขยายตัว และเชื่อว่าการสู้รบทางการค้าที่ยืดเยื้ออาจบั่นทอนเซนทิเมนต์ภาคธุรกิจมากขึ้นไปอีก
ความกังวลเหล่านี้ปรากฏให้เห็นจากรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ฉบับล่าสุดของสหรัฐฯ โดยยอดการลงทุนภายในประเทศของภาคเอกชนร่วงลง 5.5% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นตัวเลขย่ำแย่ที่สุดนับจากไตรมาส 4 ของปี 2015 ขณะที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็ลดลงถึง 10.8% จนฉุด GDP สหรัฐฯ เติบโตชะลอตัวเหลือ 2.1% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2017
นอกจากนักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanley แล้ว มาร์ก แฮเฟเล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนระดับโลกแห่ง UBS Wealth Management ก็แนะนำให้นักลงทุนเตรียมรับมือกับความผันผวนที่มากขึ้น เนื่องจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเป็นปัจจัยชี้นำตลาดในช่วงระยะสั้นหลังจากนี้
UBS เชื่อว่าเวลานี้นักลงทุนควรรอบคอบ โดยลดความเสี่ยงในพอร์ตหุ้นเพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
แฮเฟเลระบุว่าถึงแม้มาตรการจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงในทิศทางขาลงได้ แต่เขาไม่เชื่อว่า Fed จะมีเครื่องมือที่มากพอในการส่งเสริมให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ดังน้ัน UBS จึงแนะนำให้นักลงทุนมองหาโอกาสในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและตราสารหนี้หรือพันธบัตร ซึ่งได้ประโยชน์จากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้นของธนาคารกลางทั่วโลก
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: