ระหว่างที่ผมไถฟีดโซเชียลตลอดทั้งวัน หลังจากที่ลิเวอร์พูลการันตีการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 ได้สำเร็จ
ผมได้เห็นหลากหลายมุมมองของแฟนบอล ผ่านโพสต์ คอมเมนต์ และรูปภาพที่แตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่ทุกสิ่งกับเชื่อมโยงกันด้วยหัวใจพองโตกับแชมป์ครั้งนี้
ในภาพถ่ายและถ้อยคำเหล่านั้น สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล นี่คืออารมณ์ของทีมที่รอคอยแชมป์ลีกมา 5 ปี นับตั้งแต่ยุค เจอร์เกน คลอปป์ ในฤดูกาล 2019/20 หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นการรอคอยกว่า 30 ปีของแฟนบอลท้องถิ่น กว่าที่พวกเขาจะได้ฉลองแชมป์อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งในแอนฟิลด์
ท่ามกลางเสียงเชียร์ น้ำตา และรอยยิ้มมากมาย หนึ่งในความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจนที่สุดจากโมเมนต์นี้ก็คือ ‘ความหมายของการรอคอย’
ในโลกของฟุตบอล การได้แชมป์สักรายการอาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบางทีม แต่สำหรับอีกหลายสโมสร มันคือการเดินทางอันยาวนาน ที่เต็มไปด้วยความหวัง ความผิดหวัง และหัวใจที่ไม่เคยเลิกศรัทธา
ดังนั้น ‘การรอคอย’ จึงไม่ใช่แค่การนับวันเวลา แต่มันคือการสะสมเรื่องราว สะสมแรงศรัทธาที่เหนียวแน่นขึ้นทุกครั้งที่ความฝันยังไม่ถึงมือ มันเป็นบทพิสูจน์ถึงความรักที่แท้จริงระหว่างแฟนบอลกับสโมสรของพวกเขา กับความรักที่ไม่ใช่เพราะความสำเร็จ แต่รักแม้ในวันที่ความสำเร็จยังมาไม่ถึง
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดในปีนี้คือ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ ลีกคัพ ในปี 2025 หลังจากรอคอยถ้วยแชมป์ระดับเมเจอร์ของอังกฤษมานานถึง 70 ปี นับตั้งแต่แชมป์เอฟเอคัพเมื่อปี 1955
ตลอดกว่าครึ่งศตวรรษ ‘เดอะ แม็กพายส์’ ต้องเผชิญทั้งความผิดหวัง การตกชั้น และการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้จบ แต่แฟนบอลทูนอาร์มีของพวกเขายังคงแน่นแฟ้น รอคอยวันที่จะได้ฉลองแชมป์อย่างสมศักดิ์ศรี
และเมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้นที่เวมบลีย์วันนั้น มันไม่ใช่แค่ถ้วยรางวัลที่ถูกชูขึ้น แต่มันคือการปลดปล่อยน้ำตา ความภาคภูมิใจ และความรักที่แบกไว้บนไหล่มานานแสนนาน
สำหรับนิวคาสเซิล มันไม่ใช่แค่ชัยชนะธรรมดา แต่มันคือ ‘รางวัลแห่งการรอคอย’ ที่มีค่าทางจิตใจอย่างลึกซึ้ง และบางทีอาจมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ดีถึงความหมายนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกทีมจะมีเส้นทางแห่งการรอคอยเช่นนั้น
บางสโมสรเคยลิ้มรสชัยชนะบ่อยเสียจน ความยิ่งใหญ่กลายเป็นเรื่องปกติในสายตาแฟนบอล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคทองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือภาพสะท้อนของช่วงเวลานั้นได้ดี
ระหว่างปี 1998-2013 ทัพปีศาจแดงคว้าแชมป์ลีกไปถึง 9 สมัยใน 15 ฤดูกาล พวกเขาคือทีมที่แฟนบอลได้ฉลองความสำเร็จแทบทุกปี
เสียงเฮที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดดังกึกก้อง ขบวนแห่แชมป์กลางเมืองแมนเชสเตอร์เกิดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนพฤษภาคม
และในบางครั้งความตื่นเต้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความชาชิน
เมื่อวันเวลาผ่านไป ความยิ่งใหญ่กลายเป็นเพียงเรื่องเล่า เมื่อแชมป์ลีกครั้งล่าสุดคือฤดูกาล 2012/13 และปี 2025 คือการรอคอยที่กินเวลายาวนานถึง 12 ปี
แฟนแมนฯ ยูไนเต็ดจำนวนไม่น้อยจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ‘การรอคอย’ นั้นมีคุณค่าเพียงใด เมื่อความรุ่งโรจน์ในอดีตกลายเป็นความเงียบงันในหัวใจแฟนบอลยุคปัจจุบัน
อีกหนึ่งทีมที่เข้าใจความย้อนแย้งของโชคชะตาได้ดีคือ อาร์เซนอล
หลังจากสร้างตำนาน ‘ไร้พ่าย’ ในฤดูกาล 2003/04 จนถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
แต่ใครจะคาดคิดว่าหลังวันแห่งความยิ่งใหญ่นั้น แฟนบอลปืนใหญ่ต้องเฝ้ารอแชมป์ลีกต่อไปอีกกว่า 2 ทศวรรษ
ความทรงจำอันเรืองรองค่อยๆ ถูกเก็บไว้ในบทสนทนาของแฟนบอลวัยเก๋า และคลิปไฮไลต์เก่าๆ บนเพจสโมสรที่เวียนมาให้ดูเป็น On This Day ในทุกๆ ปี
ดังนั้นทุกฤดูกาลใหม่จึงเป็นบทเรียนที่ย้ำเตือนกับแฟนบอลของทุกทีมว่า ‘ความสำเร็จ’ ไม่เคยเดินกลับมาหาใครง่ายๆ
แต่ความหมายเดียวกันนี้ ได้เกิดขึ้นอีกครั้งกับ ลิเวอร์พูล ในมุมมองที่กลับกัน เมื่อวันนี้พวกเขาคือทีมที่รอคอยจนประสบความสำเร็จ
แม้พวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วในฤดูกาล 2019/20
แต่ตอนนั้นโลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตโควิด สนามแอนฟิลด์ที่ควรเต็มไปด้วยเสียงเฮกลับว่างเปล่า
เหล่าแฟนบอลที่เฝ้ารอการกลับมาของถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 30 ปี ต้องฉลองผ่านหน้าจอทีวี อยู่ห่างไกลจากทีมรักของตัวเอง
มันเป็นชัยชนะที่หอมหวานแต่เจือด้วยรสขม เพราะไม่มีอะไรจะเทียบได้กับการได้เฉลิมฉลองต่อหน้ากันจริงๆ กับเสียงเพลง ‘You’ll Never Walk Alone’ และน้ำตาแห่งความสุข
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในฐานะนักเตะที่ได้ชูถ้วยแบบไร้แฟนบอลในคืนนั้น ก็ได้สะท้อนความรู้สึกนี้อย่างตรงไปตรงมา
“(แชมป์ลีกปีนี้) มันแตกต่างจากครั้งก่อน (ปี 2020) อย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกครั้งนี้เหลือเชื่อมาก ครั้งก่อนเราได้แชมป์ตอนช่วงล็อกดาวน์ แต่ครั้งนี้ได้ฉลองต่อหน้าแฟนๆ หลังผ่านไป 5 ปี มันสุดยอดจริงๆ ครั้งนี้ดีกว่าครั้งที่แล้ว 100% เลย”
บางทีสิ่งที่ซาลาห์พูดออกมา อาจสรุปความหมายของ ‘การได้แชมป์’ ได้ดีที่สุด
เพราะความสำเร็จที่ได้มามันไม่ใช่ของทีมเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นของแฟนบอลทุกคน ที่เดินเคียงข้างทีมมาตลอดเส้นทาง
ในท้ายที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนทีมที่ชนะอยู่เสมอ หรือทีมที่ยังรอวันเฉลิมฉลอง
ผมตกตะกอนได้อย่างหนึ่งว่า โลกของฟุตบอลไม่ได้สอนให้เราหลงใหลแค่เรื่องความสำเร็จหรือถ้วยรางวัล เพียงอย่างเดียว
แต่มันสอนให้เราเห็นคุณค่าของ ‘การรอคอย’ และความหมายของคำว่า ‘ศรัทธา’ ที่ไม่หวั่นไหว แม้ในวันที่ทีมยังไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะบางครั้ง ‘การรอคอย’
คือสิ่งที่ทำให้ ‘การได้มา’ มันมีค่ามากขึ้นกว่าเดิม คุณว่าไหม? 😀