THE STANDARD WEALTH ได้เดินทางมายังนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อร่วมงานเปิดตัว vivo X300 Series สมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดจาก vivo ซึ่งการมาเยือนในครั้งนี้มีคำถามสำคัญที่น่าสนใจว่า สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่นี้จะมีความสำคัญกับตลาดในประเทศไทยอย่างไร?
คำตอบอยู่ที่ตัวเลขส่วนแบ่งตลาดในไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนนับตั้งแต่มีการเปิดตัว X100 Series ที่ช่วยให้ vivo กินส่วนแบ่งขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ในตลาดไฮเอนด์ข้อมูลนี้อ้างอิงจากยอดล่าสุด ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมของปีนี้
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้มีจุดเริ่มต้นที่สำคัญตั้งแต่เปิดตัว X100 Series ซึ่งจุดเด่นที่ชูในตอนนั้นคือเรื่องของ กล้องถ่ายภาพ โดยเฉพาะเลนส์หลักและเลนส์เทเลโฟโต้ที่ทำออกมาได้ดี รวมถึงประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่อง และเมื่อเปลี่ยนจาก X100 มาเป็น X200 ยอดขายก็กระโดดขึ้นไปอีกหลายสเต็ป
จากตัวเลขที่พิสูจน์แล้วว่ามาถูกทาง จะเห็นได้ว่า ในการเปิดตัวซึ่งจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา vivo ได้เน้นจุดเด่นของ X300 Series ไปที่เรื่องกล้อง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยที่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่คือการมองที่ ‘กล้อง’ ก่อนเป็นอันดับแรก
ถัดมาคือเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งาน ในแง่ของความแรงและ ‘แบตเตอรี่’ ซึ่งมีความสำคัญเพราะผู้ใช้ไม่ต้องการพกพาวเวอร์แบงก์ และสุดท้ายคือเรื่องของความลื่นไหลและความ ‘เสถียรของระบบ’
ช่วงเปิดตัว vivo ได้เจาะลึกถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้โดยเฉพาะ เริ่มจาก vivo X300 Pro ที่มาพร้อมกล้องหลัก ZEISS 50MP, เซนเซอร์ใหม่ Sony LYT-828 ขนาดเซนเซอร์ 1/1.28″, กันสั่นใหม่ นิ่งมากยิ่งขึ้น, เลนส์กระจก Super Blue Glass ที่มีการปรับแต่งมาใหม่ ให้การรับแสงที่แม่นยำมากขึ้น ให้ภาพคมและใสเคลียร์ รวมถึงลดการเกิดแสงโกสต์และแฟลร์ลง
ตามมาด้วยกล้องซูม Periscope Telephoto 200MP ZEISS APO, เซนเซอร์ใหม่ HPB ขนาดเซนเซอร์ 1/1.4″ (ปรับแต่งและพัฒนาร่วมกับ Samsung, MediaTek และ vivo) ให้การโฟกัสแม่นยำขึ้น ภาพชัดขึ้น จับภาพเคลื่อนไหวไวยิ่งขึ้น ระยะซูม 3.7x optical zoom (85mm), ซูมไกลสุด 100x, รองรับ Telephoto Macro ชัดมากขึ้น และกล้องหน้า 50MP, เซนเซอร์ JN1, ออโต้โฟกัส, มุมมองกว้าง 92 องศา มีแฟลชกล้องหลังแบบ Adaptive ถ่ายพอร์ตเทรตปรับความสว่างไฟแฟลชได้ตามระยะ mm
ด้าน vivo X300 มาพร้อมกล้องหลัก ZEISS 200MP, เซนเซอร์ใหม่ HPB ขนาดเซนเซอร์ 1/1.4″ (ปรับแต่งและพัฒนาร่วมกับ Samsung, MediaTek, vivo) กล้องซูม Periscope Telephoto 50MP ZEISS APO, เซนเซอร์ LYT-602, 3x optical zoom (70mm) โดยเป็นครั้งแรกที่รุ่นธรรมดา มาพร้อมมาตรฐาน ZEISS APO ให้สีสันที่ตรงมากขึ้น
ถัดมาคือเรื่องประสิทธิภาพและแบตเตอรี่ ซึ่ง vivo ระบุถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่อิงจากประสบการณ์จริงของผู้ใช้เป็นหลัก โดย vivo X300 Series นั้นมาพร้อมกับ MediaTek Dimensity 9500 ที่มีประสิทธิภาพของ CPU แบบ Single-Core เพิ่มขึ้น 32% และ Multi-Core เพิ่มขึ้น 17% ในขณะที่การใช้พลังงานของ Ultra Large Core ลดลง 55% และการใช้พลังงานแบบ Multi-Core ลดลง 37% ด้าน GPU มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 33% และลดการใช้พลังงานลง 42%
สิ่งที่ vivo เน้นย้ำมากคือเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่ง vivo เน้นย้ำว่ากุญแจสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จากการทดสอบพบว่า X300 Series มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นในระดับความจุเดียวกัน และสำหรับสินค้ารุ่นที่ใช้งานได้นานกว่า X300 นั้น โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องมีแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าถึง 1300mAh ขณะเดียวกันเทคโนโลยีใหม่นี้ยังทำให้เครื่องสามารถทำงานได้ตามปกติแม้ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ -20°C
โดย vivo X300 Pro มีแบตเตอรี่ BlueVolt ความจุ 6510mAh (เทคโนโลยี Silicon Anode Gen4 ใหม่ล่าสุด), ชาร์จสาย 90W, ชาร์จไร้สาย 40W ส่วน vivo X300 มีแบตเตอรี่ BlueVolt ความจุ 6040mAh (เทคโนโลยี Silicon Anode Gen4 ใหม่ล่าสุด), ชาร์จสาย 90W, ชาร์จไร้สาย 40W และมีหน้าจอไซส์เล็กลงเป็น 6.31 นิ้ว (แทนที่รุ่น Pro Mini)
ซึ่งในครั้งนี้ THE STANDARD WEALTH ได้มีโอกาสได้ทดลอง vivo X300 Pro โดยรวมถือว่าชอบโดยเฉพาะกล้องที่ได้มีการทดลองถ่ายในหลายระยะ แม้ว่าวันที่เราออกไปทดสอยอกสถานที่ในเซี่ยงไฮ้จะเต็มไปด้วยหมอกและสภาพอากาศที่แสงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่จากฝนที่พร้อมตกตลอดเวลา แต่รูปที่ได้ก็ออกมาสดใส
ยิ่งคนที่อยากได้ภาพจบในเครื่องหลังจากที่กดแชะภาพ น่าจะตอบโจทย์เพื่อภาพที่ได้ถูกปรับแสงและสีมาให้เรียบร้อยพร้อมกับลงในโซเชียลมีเดีย จากการที่ภาพมีความคมชัดและเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี รวมถึงมีโหมดถ่ายภาพอื่นๆ ให้ใช้ เช่น การให้ AI ปรับภาพเป็นตามฤดูต่างๆ
สำหรับราคาเปิดตัวในประเทศจีน vivo X300 อยู่ที่ 4,399 – 5,799 หยวน มีให้เลือก 5 ความจุและ 4 สี ส่วน vivo X300 Pro มาพร้อมราคา 5,299 – 8,299 หยวน กับ 4 ความจุและ 4 สี โดยนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งรุ่นธรรมดาและ Pro จะสามารถใช้ชุดเลนส์ซูม 2.35x สำหรับทั้ง 2 รุ่น ในราคา 1,499 หยวน
ในตลาดพรีเมียมที่กำลังจะเอา X300 Series เข้ามา vivo ประเทศไทย ยอมรับว่า ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ตั้งแต่ X100/X200 Series ทั้งที่ตลาดแทบไม่ได้ขยายตัว โดยในภาพรวมอยู่ที่ราว 10-11 ล้านเครื่อง ซึ่งเห็นตัวเลขนี้มา 3-4 ปีแล้ว
vivo ประเทศไทยเชื่อว่าการเติบโตนี้เกิดจากการที่เน้นเรื่องกล้องและประสิทธิภาพการใช้งานโดยรวม รวมถึงเรื่องของแบรนด์ที่คนไทยให้การยอมรับมากขึ้น ตั้งแต่ X100 Series ผู้บริโภคก็เริ่มหันมามอง vivo มากขึ้น ว่าสามารถเอาไปเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ได้ ด้วยราคาและสเปกที่ให้นั้น vivo ให้ความคุ้มค่าที่มากกว่า บางอย่างก็เทียบเท่า หรือบางอย่างก็อาจจะดีกว่าคู่แข่ง ทำให้ vivo สู้ได้แบบสมน้ำสมเนื้อ
จากความสำเร็จที่ผ่านมา vivo จึงคาดหวังว่า X300 Series จะเติบโตจาก X200 ค่อนข้างเยอะ เมื่อเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤษจิกายนสำหรับตลาดประเทศไทย
ในระยะต่อไป vivo ประเทศไทย จะเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้ได้ก่อน แล้วค่อย ๆ ดึงผู้ใช้รายใหม่เข้ามาสำหรับตลาดสมาร์ทโฟนในกลุ่มไฮเอนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อพร้อมที่จะแชร์ประสบการณ์การใช้งานแบบปากต่อปาก รวมถึงอยู่กับแบรนด์ได้ยาวนานกว่า