หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงเวลานี้คือการเตรียมแผนเดินหน้าปฏิรูปภาครัฐครั้งใหญ่ของเวียดนาม เพื่อปรับลดโครงสร้างของระบบราชการที่ใหญ่เทอะทะและอุ้ยอ้ายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยนักวิชาการไทยชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นภาพสะท้อนของการมีผู้นำประเทศที่เล็งเห็นปัญหาและต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างจริงจัง
แผนปฏิรูปมีอะไรบ้าง
สมาชิกสภานิติบัญญัติเวียดนามกว่า 97% เห็นชอบแผนปฏิรูปรัฐบาล ระบบราชการ และหน่วยงานภาครัฐครั้งใหญ่ โดยเวียดนามมีแผนจะปรับลดจำนวนหน่วยงานภาครัฐลง 15-20% ท่ามกลางความพยายามลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงาน ซึ่งจะปรับลดจำนวนกระทรวงลงเหลือเพียง 14 กระทรวง และปรับลดสมาชิกคณะรัฐมนตรีเหลือเพียง 25 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ เวียดนามยังเตรียมยุบรวมสถานีโทรทัศน์ของรัฐหลายแห่ง โดยให้ Vietnam Television ซึ่งเป็นผู้แพร่ภาพรายใหญ่ที่สุดเป็นผู้กำกับดูแล โดยการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนามนี้อาจทำให้ข้าราชการและพนักงานของรัฐกว่า 1 แสนคนต้องตกงาน เพื่อมุ่งจัดการกับระบบการทำงานที่ซับซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพ
ปัจจัยขับเคลื่อนที่เร่งให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ในเวียดนาม
รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาเซียน และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า เดิมทีเวียดนามมีวาระที่จะต้องปฏิรูปประเทศอยู่แล้ว เนื่องจากปี 2026 จะครบรอบ ‘โด่ย เหมย’ (Đổi Mới) ซึ่งเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจของเวียดนามที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1986 แต่กลับมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถรอให้ถึงปี 2026 แล้วค่อยปฏิรูปได้ เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่เร่งให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ในเวียดนาม
รศ. ดร.ปิติ ระบุว่า ปัจจัยภายนอกคือ ‘ระเบียบทรัมป์’ ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับประชาคมโลกอย่างมาก ทั้งการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย และรักษาระยะห่างกับยุโรปและยูเครน ยังไม่นับรวมสงครามการค้า สงครามภาษี และเทคโนโลยี ที่คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะเดินเกมเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยเวียดนามจับสัญญาณความแปรปรวนของระเบียบโลกในยุคทรัมป์ 2.0 ได้ ตั้งแต่ที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2024
ขณะที่ปัจจัยภายในที่บีบให้เวียดนามจะต้องเร่งปฏิรูปก็คือการถึงแก่อสัญกรรมของเหงียน ฟู้ จ่อง (Nguyễn Phú Trọng) อดีตเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และอดีตประธานาธิบดีเวียดนาม ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเมืองเวียดนาม โดย รศ. ดร.ปิติ ยังอธิบายอีกว่า โดยทฤษฎีคอมมิวนิสต์เวียดนาม เลขาธิการใหญ่ควรจะต้องลงจากตำแหน่งในช่วงอายุประมาณ 68 ปี แต่ เหงียน ฟู้ จ่อง กลับอยู่ในตำแหน่งยาวนานจนถึงอายุ 80 ปี สิ่งนี้เป็นการส่งสัญญาณตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้วว่า เวียดนามยังคงต้องการคนที่มีบารมีที่สามารถคุมกลุ่มต่างๆ ภายในเวียดนามได้ ทำให้เขาจำเป็นต้องอยู่ในอำนาจต่อไปแม้จะอายุมากและมีอาการเจ็บป่วยก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในทางการเมืองนี้ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจำเป็นต้องกระชับอำนาจและปฏิรูปสายงานการบริหารภายในพรรค นโยบายปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงนำไปสู่การปฏิรูปภาครัฐและระบบราชการครั้งใหญ่ในระยะเวลาเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งคาดว่าจะเห็นแนวทางทั้งหมดภายในไตรมาสแรกของปีนี้
การปฏิรูปจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากผู้นำไม่เห็นปัญหาและไม่ต้องการจะแก้ไขอย่างจริงจัง
เวียดนามเดินหน้าแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจังในสมัยของ เหงียน ฟู้ จ่อง ก่อนที่แนวทางดังกล่าวจะได้รับการสานต่อในสมัยของ โต เลิม (Tô Lâm) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนปัจจุบัน
ทางด้าน รศ. ดร.ธนนันท์ บุ่นวรรณา อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เวียดนาม มองว่าการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่นี้ที่ไม่เคยมีมาก่อนในเวียดนาม สอดรับกับวิสัยทัศน์ของเวียดนามที่ต้องการจะก้าวไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2045 แม้อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะก็ตาม ซึ่งขณะนี้เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้สำเร็จแล้ว
รศ. ดร.ธนนันท์ ยังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่าการเมืองเวียดนามทั้งในแง่ของการเมืองภายในและการเมืองระหว่างประเทศจะชัดเจนและโดดเด่นมากขนาดนี้ เวียดนามมีแนวทางการปฏิรูปประเทศที่ชัดเจน มีการผลักดันและลงมือทำอย่างจริงจัง สะท้อนให้เห็นว่าเวียดนามต้องการเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ในแง่หนึ่งแม้พรรคคอมมิวนิสต์มักจะถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองเดียวที่ผูกขาดอำนาจนำในทางการเมืองและเป็นเผด็จการ แต่ในแง่ของการตัดสินใจ ทุกอย่างมีแนวโน้มเป็นไปอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโครงสร้างของระบบราชการที่ต้องการปฏิรูปเป็นอย่างมาก
รศ. ดร.ธนนันท์ ยังแสดงความเห็นอีกว่า ข้าราชการหรือพนักงานของรัฐที่ทำงานอยู่ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม หลายคนมองเห็นปัญหาอยู่แล้ว แต่การปฏิรูประบบราชการและหน่วยงานภาครัฐเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากผู้นำประเทศไม่เล็งเห็นปัญหาและไม่ส่งสัญญาณว่าต้องการจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างจริงจัง โดยในกรณีของเวียดนาม ผู้นำมีการส่งสัญญาณ พร้อมผลักดันแนวทางที่จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้
แฟ้มภาพ: Thinh Nguyen / File Photo / Reuters, Andres Martinez Casares-Pool / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.reuters.com/world/asia-pacific/vietnam-parliament-approve-plan-leaner-government-2025-02-18/
- https://asia.nikkei.com/Politics/Vietnam-consolidates-government-ministries-to-combat-waste
- https://vietnamnet.vn/en/vietnam-streamlines-government-structure-reducing-ministries-to-17-2372585.html