ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพลิกกลับมาปิดบวกที่ 30,038.72 จุด เพิ่มขึ้น 827.87 จุด หรือ 2.83% ในการซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากร่วงลงมากกว่า 500 จุดในช่วงก่อนหน้าจากการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกันยายนของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ตลาด
ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่บวก 2.6% แตะ 3,669.91 จุด ส่วน Nasdaq Composite ก็ปิดเพิ่มขึ้น 2.23% แตะ 10,649.15 จุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาวะ เศรษฐกิจถดถอย อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด เปิดกลยุทธ์รับมือเน้น Predict-Prepare-Perform
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- ภาระ ‘ผ่อนบ้าน’ อาจเป็นพายุลูกใหม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก เมื่อดอกเบี้ยบ้านแพงสุดรอบ 15 ปี
การกลับมาปิดในแดนบวกของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากหุ้นของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานและธนาคาร โดยหุ้นของ Chevron ปิดเพิ่มขึ้น 4.85% ขณะที่ Goldman Sachs และ J.P. Morgan เพิ่มขึ้น 3.98% และ 5.56% ตามลำดับ
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทค อย่าง Apple, Microsoft, Nvidia และ Qualcomm ที่พร้อมใจกันปรับขึ้นก็มีส่วนทำให้ภาพรวมตลาดกลับมาเป็นบวก
การรีบาวด์ที่รุนแรงของหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนว่านักลงทุนมองข้ามตัวเลขเงินเฟ้อในระยะสั้น และเดิมพันว่าเงินเฟ้อจะถึงจุดสูงสุดในไม่ช้า
“บางทีนี่อาจเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงในช่วงสุดท้าย และจากนี้มันจะเริ่มชะลอตัวลง” Liz Ann Sonders หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของ Charles Schwab กล่าว
อย่างไรก็ตาม Sonders เชื่อว่าการแกว่งตัวของหุ้นยังมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป เนื่องจากนักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลเงินเฟ้อแบบลงรายละเอียดมากขึ้น
“ยังมีปัจจัยอีกเป็นจำนวนมากที่สามารถขับเคลื่อนความผันผวนของตลาดได้ การปรับตัวขึ้นลงระหว่างแดนบวกและลบระหว่างวันอาจเป็นเรื่องปกติในช่วงนี้” เธอกล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงค่ำที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนกันยายนที่ระดับ 8.2% ลดลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 8.3% แต่ตัวเลขเงินดังกล่าวยังคงสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8.1%
โดยทันทีที่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงรุนแรง ก่อนจะพลิกอย่างรุนแรงเช่นกันจนกลับมาอยู่ในแดนบวก
อ้างอิง: