กองทัพสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า โดรน MQ-9 Reaper หรือเครื่องบินไร้คนขับของสหรัฐฯ ตกลงสู่ทะเลดำ เมื่อวานที่ผ่านมา (14 มีนาคม) เวลา 07.03 น. ตามเวลาท้องถิ่น หลังชนปะทะกับเครื่องบินรบ Su-27 ลำหนึ่งของกองทัพรัสเซีย เหตุการณ์ดังกล่าวอาจมีส่วนทำให้ระดับความเสี่ยงที่ทางการทั้งสองประเทศจะเผชิญหน้ากันในกรณีของยูเครนเพิ่มสูงขึ้น
โดยกองทัพสหรัฐฯ ระบุว่า โดรนลำดังกล่าวปฏิบัติภารกิจในน่านฟ้าสากลของพื้นที่แถบนี้เป็นประจำก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นและตกสู่ทะเลดำ ขณะที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียชี้ว่า การชนปะทะกันเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีความพยายามจะหลบหลีกอย่างสุดความสามารถแล้ว พร้อมทั้งระบุว่า เครื่องบินทั้งสองลำไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง อีกทั้งโดรน MQ-9 Reaper ก็ปิดช่องสัญญาณขณะปฏิบัติภารกิจ
ทางการสหรัฐฯ จึงได้เชิญ อนาโตลี แอนโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซีย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เข้าพบ เพื่อประท้วงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งต่อมามีการเปิดเผยจากสื่อรัสเซียว่า ทางการรัสเซียมองเหตุการณ์โดรนในครั้งนี้เป็นการยั่วยุจากทางฝั่งสหรัฐฯ
โดยสถานการณ์บริเวณรอบทะเลดำตึงเครียดมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่รัสเซียตัดสินใจผนวกแหลมไครเมียที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเพื่อนบ้านอย่างยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง เมื่อปี 2014 ก่อนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ปะทุขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2022 จะทำให้กองทัพสหรัฐฯ รวมถึงสหราชอาณาจักร เพิ่มเที่ยวบินสอดแนมและเที่ยวบินตรวจการณ์ในพื้นที่แถบดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะออกปฏิบัติการในเขตน่านฟ้าสากลเสมอ
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากความพยายามของรัสเซียที่ต้องการก่อกวนการทำงานของโดรนลำดังกล่าว หรือตั้งใจที่จะสกัดกั้นให้โดรนลำดังกล่าวตกลง หรือเกิดขึ้นจากข้อผิดพลาดของนักบินรัสเซียที่บินเข้าไปใกล้โดรนสหรัฐฯ มากจนเกินไป เพราะถ้าหากทั้งหมดเกิดขึ้นจากความตั้งใจ นี่อาจเป็นการยั่วยุครั้งใหญ่และอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่บานปลายอย่างมาก
ด้านผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ชี้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนและอันตราย ซึ่งอาจนำไปสู่การคำนวณที่ผิดพลาดและยกระดับสถานการณ์ให้ตึงเครียดและรุนแรงขึ้นโดยที่อาจจะไม่ได้ตั้งใจได้ ขณะที่หลายฝ่ายมองว่าทางการรัสเซียอาจใช้สถานการณ์นี้เพื่อทดสอบท่าทีและการตอบสนองของสหรัฐฯ ก็เป็นได้
ภาพ: Isaac Brekken / Getty Images
อ้างอิง: