ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในสัปดาห์นี้ด้วยการที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง บนความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อบริษัทต่างๆ ในประเทศ
การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาปิดที่ 4,839.81 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปี หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 1.2% ในวันทำการล่าสุด และถือเป็นการปรับตัวขึ้นมาแล้ว 35% จากเดือนตุลาคม ปี 2022
Ned Davis Research ระบุว่า จากสถิติที่ผ่านมาในอดีต ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสจะวิ่งขึ้นได้ต่อเนื่อง โดย 13 จาก 14 ครั้งที่ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากนั้นอีก 1 ปี ดัชนีจะปรับตัวขึ้นได้อีกประมาณ 13%
Nicholas Bohnsack แห่ง Strategas ระบุว่า “ตลาดหุ้นที่มีแรงต้านน้อยดูเหมือนจะพุ่งขึ้นไปต่อจนกว่าตัวเลขการบริโภคจะชะลอและ/หรือการจ้างงานแย่ลง ขณะที่หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 จะหนุนตลาดต่อไป”
ทั้งนี้ หุ้นที่ช่วยหนุนดัชนีในปี 2024 ยังคงเป็นหุ้นกลุ่มเดิมที่หนุนดัชนีเมื่อปีก่อนอย่าง NVIDIA, Microsoft Corporation และ Meta Platforms รวมทั้งหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีล่าสุดคือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited
ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี อิงจากดัชนี Nasdaq 100 เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นกัน พร้อมกับการที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์เพิ่มสถานะ Long ในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ของ Nasdaq 100 เป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี จากข้อมูลของ Societe Generale
ด้าน Ronald Temple หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Lazard กล่าวว่า “การวิ่งขึ้นของตลาดหุ้นที่หนุนโดยหุ้น 7-10 ตัว เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังตื่นเต้นกับหุ้นสหรัฐฯ ได้อยู่คือตลาดยังซื้อขายในราคาที่สมเหตุสมผล”
อ้างอิง:
