หนึ่งในประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังจับตามองในเวลานี้ คือ สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ Government Shutdown หรือการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี โดยครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นคือสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นช่วงขาลงที่ยาวนานที่สุดในรอบหนึ่งเดือน ซ้ำเติมด้วยรายงานการจ้างงานภาคเอกชนที่ออกมาน่าผิดหวัง พลิกกลับมาหดตัวเป็นครั้งแรก สร้างแรงกดดันให้ตลาดเดิมพันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้
ดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่อง
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ครั้งนั้นการชัตดาวน์ของสหรัฐฯ กินเวลา 35 วัน แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นมีไม่มากนัก ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ดูเหมือนจะเป็นสินทรัพย์เดียวที่ได้รับแรงกดดัน
หากพิจารณาจากภาพปัจจุบัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ เปราะบางกว่ามาก ทำให้เราเห็นการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ พร้อมกับเงินทุนที่ไหลเข้าพันธบัตร และเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย
ด้าน จอร์จ กอนคัลเวส หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์มหภาคสหรัฐฯ ของ MUFG กล่าวกับ Bloomberg Television ว่า “คุณเริ่มเห็นการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์แล้ว หากภาวะ Shutdown ยืดเยื้อ มันอาจสร้างความปั่นป่วนได้”
ผลกระทบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของ Government Shutdown คือ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกันยายนของรัฐบาล ซึ่งเดิมมีกำหนดจะเผยแพร่ในวันนี้ (3 ตุลาคม) มีแนวโน้มสูงที่จะถูกเลื่อนออกไป
ฌอน ออสบอร์น หัวหน้านักกลยุทธ์ค่าเงินของ Scotiabank กล่าวว่า “สำหรับตลาด การติดตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยากขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางการเลื่อนการเปิดเผยข้อมูลบางส่วน”
การขาดข้อมูลสำคัญจะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับทั้งนักลงทุนและเฟดเองในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ทั้งนโยบายที่คาดเดาไม่ได้ของทรัมป์, ปัญหาการขาดดุลที่เพิ่มสูงขึ้น และแรงกดดันต่อความเป็นอิสระของเฟด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2022 ในปีนี้
‘คลื่นปลดคน’ ที่อาจฉุดเศรษฐกิจ
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า หากการชัตดาวน์กินเวลานาน เช่น 2-3 เดือน อาจทำให้การบริโภคซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีปัญหา
พูนกล่าวต่อว่า สิ่งที่น่ากังวลรอบนี้คือ การส่งสัญญาณของทรัมป์ที่วางแผนปลดแรงงานครั้งใหญ่ หากเกิดขึ้นจริงจะเริ่มเห็นผลกระทบกับเศรษฐกิจมากขึ้น
“สิ่งที่น่ากังวลคือ โครงสร้างตลาดแรงงานที่จะเปลี่ยนไป หลังจากนั้นอาจเห็นการจ้างงานลดลง และนำไปสู่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ติดลบ ซึ่งจากสถิติแล้วเมื่อเห็นการติดลบ จะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงเฉลี่ย 2% ในช่วง 3 เดือนถัดจากนั้น”
ขณะที่สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัสเซลล์ โวท ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณทำเนียบขาว ได้แจ้งต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าหน่วยงานรัฐบาลกลางบางแห่งจะเริ่มกระบวนการเลิกจ้างพนักงานภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งต่อมา แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ก็ได้ออกมายืนยันว่าการเลิกจ้างจะเกิดขึ้น “ในเร็วๆ นี้” แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดว่าหน่วยงานหรือตำแหน่งใดจะตกเป็นเป้าหมาย
การขู่เลิกจ้างพนักงานอย่างถาวร ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งอย่างมีนัยสำคัญ เพราะในการชัตดาวน์ครั้งก่อนๆ พนักงานส่วนใหญ่มักจะถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างชั่วคราว แต่จะยังคงสถานะพนักงานไว้และกลับมาทำงานได้เมื่อรัฐบาลเปิดทำการอีกครั้ง
ด้าน ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน กล่าวกับ Fox Business ว่า ภาวะชัตดาวน์เปิดโอกาสให้พรรครีพับลิกัน “ทำบางสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ในภาวะปกติ เพราะเราจะไม่มีทางได้รับเสียงสนับสนุนจากเดโมแครตสำหรับเรื่องเหล่านั้น” และเสริมว่า “ตอนนี้ทำเนียบขาวมีอำนาจตัดสินใจว่าบริการใดที่จำเป็น โครงการและนโยบายใดควรดำเนินต่อไป และสิ่งใดที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน”
ชัตดาวน์สหรัฐฯ อาจฉุดตลาดหุ้นให้ปรับฐาน
ณัฐชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า การชัตดาวน์ที่เกิดขึ้นจะทำให้หน่วยงานรัฐบาล พิพิธภัณฑ์ และอุทยานแห่งชาติปิดทำการชั่วคราว ข้าราชการกลางราว 8 แสนคน มีโอกาสถูกพักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ขณะที่การจ่ายเงินประกันสังคม และ Medicare จะยังดำเนินต่อไป แต่มีโอกาสล่าช้า
ล่าสุด ทรัมป์เริ่มออกมาส่งสัญญาณว่า หากปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข มีโอกาสสูงขึ้นที่พนักงานของหน่วยงานรัฐบาลกลางจะถูกเลิกจ้างอีกเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ADP ที่ประกาศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ลดลง 32,000 ตำแหน่ง ทรุดตัวแรงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง มีโอกาสจะทำให้ภาพเศรษฐกิจจริง ของสหรัฐฯ ในช่วงถัดไปมีความเปราะบางมากขึ้น และจะส่งผลกระทบไปยังภาพ ของการบริโภคภายในประเทศที่จะเริ่มเผชิญกับภาวะราคาสินค้าที่ทยอยขยับขึ้น ในช่วงถัดไปเช่นกัน มองเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่รออยู่ซึ่งอาจกระทบกับภาพเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในช่วงถัดไปได้
โดย ณ วันนี้ ตลาดหุ้นยังอยู่ได้บนความคาดหวังเดียว นั่นก็คือการลดดอกเบี้ย Fed ที่รออยู่ในช่วงถัดไป ซึ่งจะทำให้ในช่วงนี้ เราจะเห็นภาพการปรับตัวที่แข็งแกร่งกว่าของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มวัฏจักรในสหรัฐฯ แต่หากในท้ายที่สุดกำไรของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มขึ้นไม่ทันกับความคาดหวังราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแล้ว เชื่อว่าการปรับฐานที่รุนแรงของหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ไม่น้อย
รมช.คลังห่วง สถานการณ์ยืดเยื้อบานปลายจะกระทบไทย
วรภัค ธัญญวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณี Government Shutdown ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อไทย โดยระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งปิดทำการ (Shutdown) หลังสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณทันเส้นตาย 1 ตุลาคม ทำให้บริการของรัฐที่ไม่จำเป็น ต้องหยุดชะงัก มีเจ้าหน้าที่ราว 750,000 คน ถูกสั่งพักงาน ส่งผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจในประเทศทันที
วรภัค อธิบายต่อว่า ภาวะนี้นำไปสู่ผลกระทบภายในสหรัฐฯ ได้แก่ มี หน่วยงานหลายแห่งปิด รวมถึงอุทยานแห่งชาติ ศุลกากร และหน่วยงานสถิติแรงงาน (BLS) ซึ่งจะทำให้การรายงานการจ้างงานเดือนกันยายน เลื่อนออกไป ซึ่งกระทบตลาดแรงงานและการตัดสินใจของ Fed ที่กำลังพิจารณาลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ที่สำคัญ รัฐบาลทรัมป์ส่งสัญญาณว่า shutdown รอบนี้อาจไม่ใช่การ ‘พักงานชั่วคราว’ แต่เป็นการ ‘ปลดถาวร’ ข้าราชการบางส่วน ทำให้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอหนักขึ้น
โดยผลกระทบเศรษฐกิจขึ้นกับระยะเวลา ซึ่งครั้งก่อนเมื่อปี 2018 – 2019 ทำ GDP หายไป 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 3 พันล้านดอลลาร์
รมช.คลังกล่าวต่อว่า ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อบานปลาย อาจจะมี ผลกระทบต่อประเทศไทยได้ ดังนี้
• ค่าเงินบาทและตลาดการเงิน นักลงทุนอาจจะผันเงินไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย ค่าเงินอาจจะผันผวน SET รับแรงกดดัน
• การส่งออก คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ เสี่ยงชะลอ โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าอุตสาหกรรม อีกทั้งศุลกากรสหรัฐฯ ที่ทำงานล่าช้าอาจทำให้สินค้าค้างท่าเรือ
• การท่องเที่ยว ถ้าผู้บริโภคอเมริกันระมัดระวังการใช้จ่าย การเดินทางท่องเที่ยวอาจลดลงบ้าง
• ความเชื่อมั่นการลงทุน ความไม่แน่นอนในสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย แต่ก็เปิดโอกาส หาก Fed ลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เงินทุนบางส่วนอาจไหลกลับเข้ามาในภูมิภาค
วรภัคยังกล่าวถึงแนวทางที่ไทยควรเตรียมรับมือ ถ้าสถานการณ์ลุกลาม บานปลาย ได้แก่
• ดูแลเสถียรภาพค่าเงิน: ธปท. ต้องพร้อมใช้เครื่องมือดูแล FX ไม่ให้กระทบภาคส่งออก/นำเข้า
• บริหารความเสี่ยงด้านส่งออก: หาตลาดเสริม (เช่น จีน อาเซียน ตะวันออกกลาง) และประสานทูตพาณิชย์กับฝ่ายสหรัฐฯ ถ้ามีปัญหาติดขัดด้านศุลกากร
• เตรียมมาตรการ ช่วยเหลือภาคธุรกิจ: อาทิเช่นมาตรการ soft landing เช่นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SMEs และ FX hedging สำหรับผู้ส่งออกที่ถูกกระทบจากตลาดสหรัฐ
ภาพ: Chip Somodevilla / Staff / GettyImages
อ้างอิง: