สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics) เผยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) หรือ CPI ประจำเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 7% เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายนที่ 6.8% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า ส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อในรอบ 12 เดือนของสหรัฐฯ ทำสถิติพุ่งแตะรับสูงสุดในรอบ 39 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 1982
ขณะนี้ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมสินค้าในหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนธันวาคม เมื่อเทียบเป็นอัตรารายปี เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายนซึ่งอยู่ที่ 4.9% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 5.4% นอกจากนี้ดัชนี CPI พื้นฐาน ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบเป็นอัตรารายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 0.5%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กลับแสดงความเห็นที่ตอบรับตัวเลขเงินเฟ้อรอบนี้ในทางบวก เนื่องจากมองว่า ความเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อยังเป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์กันไว้ และหลายฝ่ายเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวใกล้แตะระดับสูงสุดแล้ว และคาดว่าเงินเฟ้อน่าจะพุ่งแตะระดับสูงสุดอย่างช้าที่สุดในช่วงเดือนมีนาคม ก่อนที่จะทรงตัวและค่อยๆ ทยอยปรับตัวลดลง แต่ในภาพรวมตลอดทั้งปี 2022 ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะยังคงถือว่าอยู่ในระดับสูงต่อไป
ไมค์ อิงค์ลันด์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง Action Economics กล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อจะยังคงอยู่คู่กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไปตลอดทั้งปีนี้ แต่น่าจะอยู่ในระดับที่ดีมากขึ้น เพราะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในเดือนธันวาคมเป็นผลจากปริมาณดีมานด์กับซัพพลายที่ไม่สอดคล้องกัน ดังนั้นหากปัญหาติดขัดในระบบห่วงโซ่การผลิตคลี่คลายและปัญหาขาดแคลนแรงงานได้รับการแก้ไข ราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ก็น่าจะทยอยปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อน่าจะปรับลดลงและทรงตัวได้อีกครั้งหลังจากที่การระบาดของโควิดตัวกลายพันธุ์โอมิครอนสิ้นสุดลง และชาวอเมริกันหันมาจับจ่ายใช้สอยในภาคบริการอย่างการออกเดินทางท่องเที่ยว รับประทานอาหารนอกบ้าน หรือรับชมภาพยนตร์ในโรงมากขึ้น
สำหรับเงินเฟ้อที่ยังคงพุ่งขึ้นในขณะนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับราคาค่าเช่าที่พักอาศัย มื้ออาหารในร้านอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านขายของชำต่างๆ ตามความต้องการบริโภคของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีงานทำมากขึ้นและได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขว่างงานล่าสุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาลดลงเหลือเพียง 3.9%
นอกจากนี้ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวยังกลายเป็นอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องเร่งออกนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เพื่อป้องกันผลกระทบทางลบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งการยกเลิกมาตรการกระตุ้น ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดย เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed กล่าวชัดเจนว่า อัตราเงินเฟ้อสูงเป็นเรื่องที่เลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อยและไม่สามารถจ่ายค่าอาหาร ที่อยู่อาศัย และค่าเดินทางที่แพงขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม คริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกโรงเตือนว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อจะยิ่งเพิ่มความอันตรายและตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างชาติที่พัฒนาแล้วและชาติที่กำลังพัฒนา ดังนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางชาติอื่นๆ จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ และเพิ่มความเสี่ยงจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ก่อนกล่าวว่า เงินเฟ้อไม่ใช่ปรากฏการณ์ครอบจักรวาล แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบางประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ
อ้างอิง:
- https://apnews.com/article/consumer-prices-inflation-c1bfd93ed1719cf0135420f4fd0270f9
- https://edition.cnn.com/2022/01/12/economy/inflation-consumer-price-index-december/index.html
- https://www.channelnewsasia.com/business/inflation-fighting-rate-hikes-could-increase-rich-poor-divide-imfs-georgieva-warns-2431436
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP