×

SCB CIO คาดหากดีลเจรจาภาษีสหรัฐฯ ล้ม ไทยโดน 36% หวั่นฉุด GDP ปีหน้าโตเหลือ 0.4% เหตุทำส่งออกหดตัว การลงทุนชะลอตัว

25.07.2025
  • LOADING...
นิสารัตน์ SCB CIO วิเคราะห์ผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐต่อ GDP ไทย

นโยบายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง แม้ตัวเลขภาษีที่ชัดเจนจะยังไม่ถูกเปิดเผย แต่คาดการณ์ว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นในหลายด้าน

 

นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการ Wealth and Investment Advisory, SCB CIO ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่าประเด็นภาษีการค้าของไทยกับสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนใน 3 ประเด็นหลักที่ยังไม่มีข้อสรุปและสร้างความไม่แน่นอน 

 

โดยอัปเดตล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์ของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ ที่ได้ยื่นข้อเสนอสุดท้ายต่อสหรัฐฯ ไปแล้วเมื่อวานนี้ แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด แต่ประเด็นที่ยังต้องจับตาคือ

 

  • หากการเจรจาไม่เป็นผล ไทยอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 36% ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ อย่างเวียดนามที่ได้อัตราภาษี 20%, อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่อัตราภาษี 19%
  •  ขณะที่บางประเทศเพื่อนบ้านตกลงที่จะลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ในสินค้าบางประเภท แต่ไทยยังไม่มีการยอมรับในส่วนนี้ และส่วนที่เหลืออีก 10% ที่ยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษีก็ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด
  • ปัญหา Transshipment สหรัฐฯ กังวลว่าไทยอาจเป็นช่องทางผ่านของสินค้าจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งไทยจะต้องมีมาตรการควบคุมแหล่งที่มาของสินค้า (Country of Origin) ที่ชัดเจน หากสหรัฐฯ ไม่ยอมรับ ไทยอาจถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเป็น Tier Tariff เช่นเดียวกับเวียดนามที่ต้องจ่ายภาษีสูงถึง 40% หากพิสูจน์ได้ว่ามีการขนส่งผ่าน

 

ทั้งนี้สหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ กว่า 20% ของการส่งออกทั้งหมด ดังนั้น การไม่สามารถเจรจาต่อรองเพื่อลดภาษีลงได้ จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทย

 

ประเมินผลกระทบภาษีต่อ GDP ไทย เสี่ยงเหลือ 0.4% หากโดนภาษี 36%

 

  • หากลดภาษีได้ครึ่งหนึ่งเหลือ 18% ประเมินว่า GDP ปีนี้จะขยายตัวประมาณ 1.5% และปีหน้าจะเหลือ 1.2%
  • หากไทยโดนเก็บภาษี 36% เต็ม ประเมินว่า GDP ปีนี้จะเหลือเพียง 1.1% เนื่องจากเริ่มเก็บในเดือนสิงหาคมนี้ แต่ในปีหน้าซึ่งเป็นผลกระทบเต็มปี GDP จะชะลอตัวอย่างรุนแรง เหลือเพียง 0.4% เท่านั้น

 

โดยผลกระทบหลักจะมาจากการหดตัวของการส่งออกและการชะลอตัวอย่างมากของการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทย นอกจากนี้ หากต้นทุนของไทยสูงกว่าเพื่อนบ้าน จะส่งผลให้ความน่าดึงดูดในการลงทุนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซัปพลายเชนขนาดใหญ่ของไทย เช่น ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะได้รับผลกระทบ รวมถึงความสามารถในการแข่งขันระยะยาวจะลดลง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าคำแนะนำสำหรับภาครัฐและเอกชน

 

นิสารัตน์ ยังเสนอแนะแนวทางสำหรับภาครัฐและเอกชนเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ดังนี้

 

  • ภาครัฐ ควรดำเนินนโยบายเชิงรุกมากขึ้น และใช้เครื่องมือทางการคลังและการเงินให้สอดคล้องกัน การผ่านงบประมาณและการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อประคองเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตให้มีนวัตกรรมมากขึ้น และส่งเสริมพัฒนา SME ให้มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาวเป็นสิ่งจำเป็น
  •  ภาคเอกชน ควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

 

แนะนำกลยุทธ์การลงทุนรับมือความไม่แน่นอน

 

สำหรับนักลงทุนในภาวะที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คุณนิสารัตน์ย้ำถึงปรัชญาการลงทุนที่สำคัญ 2 ประการ

 

  • การลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) Stay Invested การอยู่ในตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ
  •  การกระจายการลงทุน (Diversified) ในสินทรัพย์ที่หลากหลายจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้

 

ชี้เป้าสินทรัพย์ที่น่าสนใจ 

 

  • ตลาดหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งมองว่าเป็น Core Portfolio ที่ดีสำหรับนักลงทุน
  • หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI, Tech เป็น Satellite Portfolio ซึ่งผลประกอบการของกลุ่มนี้ยังคงเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่องและดีกว่ากลุ่มอื่นๆ
  •  กองทุน Global Multi Asset Funds สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายและอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ กองทุนประเภทนี้ เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Multi-Asset Core Portfolio (SCB GM Core) ที่บริหารโดย BlackRock จะช่วยจัดการน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงครบถ้วน
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising