สภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน หรือ US-China Business Council ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทำธุรกิจอยู่ในจีนกว่า 260 แห่ง ได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า กฎหมายคุ้มครองข้อมูลของจีนที่มีการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้อมูลข้ามพรมแดน มีกฎระเบียบที่คลุมเครือ และมีการบังคับใช้ที่ไม่สอดคล้องกันกำลังเพิ่มต้นทุนการทำธุรกิจให้กับบริษัทต่างชาติในจีน และอาจนำไปสู่การแตกตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลในโลกออกเป็นสองค่าย (Digital Decoupling) ได้ในอนาคต
“กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลของจีนกำลังสร้างความท้าทายให้กับบริษัทข้ามชาติ ถ้ามันถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวด ผลลัพธ์ที่ตามมาบริษัทต่างชาติอาจถูกบังคับให้แยกการจัดเก็บข้อมูลออกมา ต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและบุคลากรให้เป็นไปตามข้อกำหนดของจีน ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับการดำเนินงานในส่วนอื่นๆ ของโลกได้จนมีลักษณะเหมือนติดเกาะ” แถลงการณ์ระบุ
ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ได้ออกกฎหมายจำนวนมากที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยอ้างเหตุผลในด้านความมั่งคงของประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนยังได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อจัดเก็บข้อมูลจากทั่วประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายจะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ทางการจีนยังอ้างว่ากฎหมายที่ออกมาจะช่วยป้องกันปัญหาการผูกขาดทางธุรกิจ โดยเฉพาะจากกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งเห็นได้จากการที่จีนได้สั่งปรับ Alibaba Group ด้วยข้อหาผูกขาดตลาดสูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์ พร้อมสั่งให้บริษัทเร่งปรับปรุงการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับข้อบังคับ
ความกังวลในแง่ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบและข้อบังคับจากทางการจีนทำให้ในเดือนที่ผ่านมา สถาบันการเงินชื่อดังอย่าง JPMorgan Chase ได้จัดให้อินเทอร์เน็ตเซกเตอร์ของจีนอยู่ในหมวด ‘ไม่น่าลงทุน’
Matthew Margulies รองประธานอาวุโสของสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทสัญชาติอเมริกันหลายแห่งอยู่ระหว่างทำงานร่วมกับรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของจีน เพื่อลดอุปสรรคทางข้อกฎหมายที่จะเกิดกับธุรกิจต่างชาติ
“อย่างน้อยที่สุด เราต้องการทราบความชัดเจนของขอบเขตกฎหมาย และเราต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเสนอความเห็น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความมั่นคงทางข้อมูลเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่เรากังวลว่าหากการควบคุมเข้มงวดเกินไปมันจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีในแง่การค้าและการลงทุน” Margulies กล่าว
โดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน ยังระบุด้วยว่า ปัจจุบันจีนมีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เท่ากันในแต่ละภาคธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ สุขภาพ และการเงินจะถูกควบคุมเข้มงวดมากกว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตบริษัทต่างชาติที่จีนมองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงอาจถูกบังคับให้ต้องซื้อและใช้เซิร์ฟเวอร์ในจีนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของบริษัทเหล่านี้สูงขึ้น
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP