สหรัฐอเมริกาและจีนเตรียมจัดการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งนับเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 145% และจีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ กลับในอัตรา 125%
โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะมี สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการทรวงการคลัง และ เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เข้าร่วมการเจรจา ขณะที่ฝ่ายจีนจะนำโดย เหอลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี ตามแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีน
การประชุมครั้งนี้ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลก ท่ามกลางความวิตกว่าหากสงครามการค้ายืดเยื้อ อาจกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 จาก 3.3% เหลือ 2.8% หลังจากสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีอย่างเข้มข้น
นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ โดยผลวิจัยของ JP Morgan ชี้ว่ามีโอกาสสูงถึง 60% ขณะที่ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัว 0.3% ในไตรมาสแรก ซึ่งยังเป็นช่วงก่อนที่ภาษีของทรัมป์จะมีผลเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ สก็อต เบสเซนต์ ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า ทั้งสองประเทศมี “ผลประโยชน์ร่วม” ในการพูดคุย เนื่องจากระดับภาษีในปัจจุบัน “ไม่สามารถคงอยู่ได้ในระยะยาว เราไม่ได้ต้องการแบ่งขั้ว เราแค่ต้องการการค้าที่เป็นธรรม” นอกจากนี้ เขายังย้ำว่า การเจรจาครั้งแรกนี้จะเน้นที่ “การลดระดับความตึงเครียด” มากกว่าการบรรลุ “ข้อตกลงการค้าใหญ่”
ขณะที่ ทางการจีนโดยกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า การเจรจาควรตั้งอยู่บน “หลักของความเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียม การปรึกษาหารือ และผลประโยชน์ร่วมกัน” พร้อมย้ำด้วยสำนวนจีนว่า “ฟังเขาพูด แล้วดูเขาทำ”
โฆษกของกระทรวงฯ ยังกล่าวว่า “หากสหรัฐฯ ต้องการแก้ปัญหาผ่านการเจรจา ต้องยอมรับผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงที่มาตรการภาษีฝ่ายเดียวของตนก่อขึ้นทั้งต่อประเทศตนเองและต่อโลก” พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ เคารพกฎระเบียบการค้าโลก เสียงเรียกร้องจากภาคส่วนต่าง ๆ และ “แก้ไขการกระทำที่ผิดพลาด” ของตนเองด้วย
ภาพ: Photo by Dilara Irem Sancar / Anadolu via Getty Images
อ้างอิง:
