วานนี้ (3 กรกฎาคม) พล.อ. มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วม (CJCS) อันเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางทหารระดับสูงสุดในกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ชี้ชัดว่า ทางการจีนพัฒนาขีดความสามารถทางการทหารอย่างมาก และอาจนำไปสู่การโจมตีไต้หวันในอนาคต แม้แนวโน้มการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ดังกล่าวจะยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่ทางกองทัพสหรัฐฯ จะเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด พร้อมจะช่วยสนับสนุนไต้หวันหากต้องเผชิญหน้าทำสงครามกับจีนแผ่นดินใหญ่
ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวัน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐฯ เริ่มค่อยๆ ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น หลังทางการจีนส่งเครื่องบินรบบินเข้ามาใกล้กับน่านฟ้าของไต้หวัน ซึ่งอาจเป็นการรุกล้ำอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนในสายตาไต้หวันและสหรัฐฯ ในขณะที่การที่กองทัพเรือสหรัฐฯ แล่นเรือเข้ามายังน่านน้ำของไต้หวันเองก็อาจดูเป็นการยั่วยุและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านความมั่นคงในสายตาจีนได้เช่นกัน
โดยก่อนหน้านี้ทางการจีนประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า หากไต้หวันประกาศเอกราชจากจีนอย่างเป็นทางการ รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่อาจจำเป็นต้องตอบโต้ด้วยกำลังทางทหารหากมีความจำเป็น อีกทั้งทางการจีนยังมองว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวัน มีการร่วมมือกันในมิติต่างๆ โดยเฉพาะทางการทหาร รวมถึงการประกาศจะร่วมปกป้องอำนาจอธิปไตยของไต้หวันนั้น ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน และละเมิดหลักการจีนเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม ต่างฝ่ายต่างตระหนักดีถึงต้นทุนที่ต้องเสียไปหากสงครามเปิดฉากขึ้น ไม่เพียงแต่จีนที่จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่หมายรวมถึงประเทศต่างๆ ในประชาคมโลกก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งนี้ทางการจีนยังพยายามเน้นย้ำการส่งเสริมให้ทั้งจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสันติหากเป็นไปได้
ในขณะที่ประชาชนชาวไต้หวันส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนให้รัฐบาลไต้หวันพยายามรักษาสมดุล (Status Quo) ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ไว้ แม้จะมีชาวไต้หวันจำนวนหนึ่งที่ต้องการให้ไต้หวันประกาศเอกราชจากจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเป็นทางการ ซึ่งนั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่อาจบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่
ภาพ: Alex Wong / Getty Images
อ้างอิง: