วิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยเป็นขาลง ภาครัฐจึงออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยจะแบ่ง 4 แสนล้านบาทมาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ล่าสุด ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่าทาง สศช. เปิดให้หน่วยงานรัฐเสนอโครงการเข้ามาว่าจะใช้วงเงินกู้นี้อย่างไร โดยคณะทำงาน สศช. พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการ/แผนงานในรอบแรกแล้ว มีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณา 213 โครงการ รวมวงเงินประมาณ 101,482.28 ล้านบาท จากโครงการที่เสนอเข้ามาทั้งหมด 46,429 โครงการ วงเงิน 1.456 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ข้อเสนอกว่า 213 โครงการในวงเงิน 1.01 แสนล้านบาทนี้ เน้น 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 การสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น
- โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ ‘โคก หนอง นา โมเดล’ (แผนงาน 3.2) มูลค่า 4,953.79 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะจ้างงานเกษตรกรราว 9,188 คน
- โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ (แผนงาน 3.2) ซึ่งเป็นการใช้ Big Data เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจน มูลค่า 2,701.88 ล้านบาท โดยคาดว่าจะจ้างงานประชาชนในพื้นที่ราว 14,510 คน
- โครงการอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (แผนงาน 3.2) มูลค่า 1,080.59 ล้านบาท จ้างงานประชาชนราว 15,548 คน ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 710,518 คน
เป้าหมายที่ 2 การลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต เช่น
- โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด (แผนงาน 3.1) มูลค่า 13,904.50 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรประมาณ 8,293.43 ล้านบาท
- โครงการสร้างความเข้มแข็งศูนย์ข้าวชุมชน มูลค่า 900 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างงานให้เกษตรกรประมาณ 600 คน
- ศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมการเกษตร อาหาร และการแพทย์ (แผนงาน 3.1) มูลค่า 1,264.40 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานประมาณ 2,500 คน
- โครงการยกระดับนวัตกรรมแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์สู่ตลาดท่องเที่ยวคุณภาพตามวิถีนิวนอมอล (Innovative CBT for New Normal) (แผนงาน 3.1) มูลค่า 460 ล้านบาท โดยคาดว่าจะกระจายรายได้สู่ชุมชน นักศึกษา/บัณฑิตตกงาน และผู้ประกอบการประมาณ 65 ล้านบาท
เป้าหมายที่ 3 กระตุ้นการอุปโภคบริโภค การท่องเที่ยวในประเทศ (แผนงาน 3.3) เช่น
- โครงการ ‘เราไปเที่ยวกัน’ วงเงิน 18,000 ล้านบาท
- โครงการ ‘เที่ยวปันสุข’ วงเงิน 2,000 ล้านบาท
- โครงการ ‘กำลังใจ’ วงเงิน 2,400 ล้านบาท
ทั้ง 3 โครงการรวมมูลค่า 22,400 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ประมาณ 52,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทาง สศช. คาดว่าจากการอนุมัติข้อเสนอรอบแรก 213 โครงการ วงเงิน 1.01 แสนล้านบาท คาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ดังนี้
1. การจ้างงาน – ช่วยให้เกิดการจ้างงานใหม่กว่า 410,415 ราย
2. สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน/ตำบล แบ่งเป็น 79,604 หมู่บ้าน และ 3,000 ตำบล
3. การท่องเที่ยว
- พัฒนาต้นแบบสำหรับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพระหว่างและหลังวิกฤตโควิด-19 กว่า 6 พื้นที่
- ผู้ประกอบการและแรงงานได้รับการพัฒนากว่า 11,000 ราย
- บริษัทนำเที่ยวได้ประโยชน์ 13,000 ราย
- การเข้าพัก 5 ล้านห้อง/คืน
- การเดินทาง 2 ล้านคน/ครั้ง
- จากมาตรการด้านการท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศกว่า 3.2 ล้านคน/ครั้ง
4. การเกษตร
- จากโครงการเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและน้ำ คาดว่าเกษตรกรสามารถเลี้ยงตนเองได้กว่า 95,000 ราย
- เกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์จากการยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ 5,450 แปลง มีจำนวน 262,500 ราย และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านบาทต่อปี
- เกิดพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 2.4 แสนไร่
- เกษตรสมัยใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากกว่า 5 ล้านไร่
5. พื้นที่ป่าไม้ แหล่งน้ำชุมชน
- พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น 1.7 แสนไร่
- พื้นที่กักเก็บน้ำ 7,900 ล้านลูกบาศก์เมตร
6. ดิจิทัลแพลตฟอร์มและระบบโลจิสติกส์ เกิดดิจิทัลแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวและดิจิทัลแพลตฟอร์มด้านสินค้า
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาในรอบแรกจะนำเสนอให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาในช่วงวันที่ 22-25 มิถุนายน 2563 เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาในวันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 ต่อไป และคาดว่าจะส่งเข้าพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 โดยคาดว่าจะแบ่งการอนุมัติเงินกู้ฯ ออกเป็น 2-3 รอบ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยรอบแรกจะเริ่มดำเนินการช่วงเดือนกรกฎาคม 2563
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์