วันนี้ (17 ตุลาคม) ธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้า และ สส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองว่า จุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เป็นร่างกฎหมายที่มีความตั้งใจที่ดีที่จะให้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างความปรองดองในชาติ ซึ่งตนไม่ขัดข้อง แต่กฎหมายนี้ต้องไม่รวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะไม่ใช่ความผิดทางการเมือง ไม่ใช่แรงจูงใจทางการเมือง ตนไม่เห็นด้วยและจะคัดค้านถึงที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนในมาตรา 6 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ และสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ธนกรกล่าวว่า หากจะนิรโทษกรรมให้ผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ตนเองไม่แน่ใจว่าหากเริ่มจากสภาผู้แทนราษฎรและส่งไปให้คณะรัฐมนตรีจะกลายเป็นสารตั้งต้น ซึ่งเสี่ยงที่จะเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกระทำความผิดขัดต่อจริยธรรมหรือไม่ โดยอ้างอิงจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ก็ชี้ชัดแล้วว่ามีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครอง เป็นการรณรงค์หาเสียง รวมถึงการยื่นแก้ไขมาตรา 112 เมื่อมองเทียบเคียงกับผู้ที่กระทำความผิดตามมาตราดังกล่าวจะยิ่งมีน้ำหนักโทษรุนแรงกว่าพรรคก้าวไกลเสียด้วยซ้ำ
“ผมย้ำจุดยืน เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ไม่มีความรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิต รวมทั้งไม่รวมคดีทุจริตคอร์รัปชัน แต่ควรจะมีเงื่อนไขในการพิจารณาการนิรโทษกรรมอย่างละเอียดรอบคอบ เชื่อว่าสภาเองก็ต้องมีการพิจารณาอย่างรัดกุม ไม่ทำให้เกิดการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียเอง ยืนยันขอคัดค้านถึงที่สุดไม่ให้มีการรวมคดีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรม ควรถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด”
ธนกรกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดความไม่พอใจและรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในสังคมและนำไปสู่ความแตกแยกทางความคิดขึ้น เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ การเสนอให้มีการยกโทษหรือนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิดคดีนี้ ถือเป็นการลดความสำคัญของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญของความมั่นคงของรัฐ การที่สถาบันถูกทำลายภาพลักษณ์อาจทำให้ประเทศสูญเสียเสถียรภาพและความเป็นปึกแผ่น อาจเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงหรือมีอิทธิพลต่อการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น นั่นคือผลกระทบต่ออธิปไตยและความเป็นอิสระของประเทศอย่างชัดเจน
ธนกรยังย้ำว่าผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ต้องได้รับโทษ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องกำหนดให้ชัดเจนในมาตรา 4 ว่า ‘มิให้การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้รับการนิรโทษกรรม’ เพื่อให้ร่างกฎหมายมีความชัดเจนในการกำหนดข้อยกเว้นของการกระทำที่จะไม่ได้รับการนิรโทษกรรม เพราะการนิรโทษกรรมควรถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างการสร้างความปรองดอง ความยุติธรรมในสังคม และความมั่นคงของชาติ การนิรโทษกรรมที่ขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ร้าวลึกขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติและความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
“ผมเห็นใจเยาวชนน้องๆ หลายคน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านี้ไม่เห็นออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ปล่อยให้เยาวชนติดคุกจำนวนมาก ซึ่งยอมรับว่าเห็นใจเยาวชนและคนรุ่นใหม่ที่โดนคดี แต่ก็เห็นว่ายังมีหลายคนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีความสำนึก คนที่ต้องออกมารับผิดชอบคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มเยาวชนให้ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสถาบัน หากไม่มีคนอยู่เบื้องหลังจะไม่มีคนออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งน่าเห็นใจ เพราะหลายคนถูกชักชวนและให้ข้อมูลบิดเบือน ตอนนี้มีหลายเรื่อง ทั้งความเดือดร้อนปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชนที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีทำถูกแล้วที่มีการเดินหน้าโครงการโอนเงินหมื่นให้กับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเตรียมเดินหน้าโครงการคนละครึ่งด้วย ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ต้องรีบทำ เพราะความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน 70 กว่าล้านคนรออยู่ นิรโทษกรรมยังไม่สำคัญเท่าความเดือดร้อนของประชาชน ผมขอคัดค้านจนถึงที่สุดว่าการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองไม่รวมมาตรา 112”